วิธีทำไม้ง่ามหนังสติ๊ก

source: รัตตรา
เว็บบอร์ด อวป

วิธีทำหนังสะติ๊กครับ เลือกง่ามไม้ที่จะทำเช่น ไม้มะขามหาง่ายสุด และเป็นไม้เนื้ออ่อนดี เล็งซ้ายขวาดู จะเห็นได้ว่า ความแตกต่างของง่าม ธรรมชาติสร้างมาได้แค่ใกล้เคียง ในภาพจะเห็นว่าด้านแต่ละด้านจะเยื้องกัน เราต้องเล็งดูว่า จุดศูนย์กลางของง่ามเพียงพอจะเหลาให้ได้ เป็นง่ามไม้ที่มีซ้ายขวา ได้สมดุลย์กันหรือไม่เมื่อเราทำเสร็จ รูปลักษณะแบบใดที่เราต้องการก็ต้องกำหนดเอาเองโดยการเขียนลงบนกระดาษคร่าวๆ แล้วเปรียบเทียบกับง่ามจริง ก่อนลงมือทำ การกะระยะตัดไม่เป็นการดี การตัดระยะความสูงของง่ามไม้ควร เขียนเส้นแบ่งองศาไว้ที่แบบกระดาษ
รูป 1. เลือกหาง่ามไม้มาทำโดยคัดอันที่ไม่โย้เย้ จนเกินไป เล็งดูแค่ให้ ด้านซ้ายด้านขวา สมดุลย์แค่ใกล้เคียงกันก็พอแล้ว เพราะเราสามารถปรับแต่งได้
รูป 2. ตัดปลายทั้งสามด้านตามความยาวที่ต้องการ อย่าให้สั้นจนเกินไป ในทางที่ดี ควรเผื่อให้ยาวไว้ก่อน ขึ้นอยู่กับมือผู้ใช้เป็นสำคัญครับ
รูป 3. ปอกเปลือกออกหนึ่งด้านเพื่อจะได้เล็งแนว ซ้ายขวาให้เห็นได้ชัดขึ้น ว่าไม้ง่าม มีการเอียงโย้ไปด้านหน้าหรือด้านหลัง จะได้ตัดสินใจลงมีดว่าควรเอาเนื้อไม้ด้านไหนออกไป
รูป 4. พลิกกลับดูอีกด้านเล็งดูให้แน่ใจว่าทิศทางหน้าตา จะออกมาทางไหน ดูผลต่างของเนื้อไม้ที่ จะต้องเหลาออกไป
รูป 5. เหลาเนื้อไม้ที่ไม่ต้องการทิ้งไปตามแนวที่เราเล็งไว้แล้ว ตรงในภาพส่วนนี้จะเป็นจุดที่เหลาเนื้อไม้ออกไปได้ยากที่สุด ต้องใช้มีดที่มีใบยาวสามนิ้วกำลังเหมาะ และปลายมีดให้เป็นทรงหัวตัดปลายแหลมจิกดังภาพ จะทำให้งานง่ายขึ้น
รูป 6. วิธีทำของผมจะขึ้นรูปง่ามเป็นทรงเหลี่ยมก่อนเสมอ เพื่อกำหนดทรงได้ง่ายการขึ้นทรงกลมเลย ถ้าใครเคยทำเป็นรูปกลมเลยก็ได้ ( ถ้าชำนาญพอ ) แต่โอกาสพลาดทำแล้วไม่กลมแต่ออกมาเบี้ยวมีเยอะครับ แก้กลับไม่ได้ วิธีนี้สำหรับความชัวร์ ทำเป็นทรงเหลี่ยมเรียวปลายหรือเหลี่ยมตรงๆ ขึ้นไปก่อนก็ได้ครับ พร้อมกับกำหนดจุดความยาวที่จะทำเป็นตุ่มด้านด้านหัวหนังสะติ๊ก กันยางฯ หลุดออกจากหัวง่ามเวลายืดยิง แนะนำว่าควรใช้มีดคมๆ กดเป็นคอคอดโดยรอบไว่ แต่ควรต่ำกว่า จุดที่ต้องการจริงซักหนึ่งมิลลิเมตร เพื่อเก็บตรงส่วนเผื่อไว้ตกแต่งให้ถึงระยะต้องการอีกที
รูป 7. คราวนี้เห็นชัดๆ เลยครับว่าเหลาเป็นทรงเหลี่ยมก่อนการเกลาให้กลม เป็นอย่างไร ในภาพจะเริ่มเกลาเหลี่ยมให้กลมแล้วครับ ตรงนี้จุดที่ระวังที่สุดคือ การให้น้ำหนักมีดกดไล่ไปหาปลายตุ่มหัว ( ยังเป็นทรงเหลี่ยมอยู่ ) ระวังอย่าให้แรงเกินจนไปตัดหัวตุ่มจนเกิดขาดขึ้นมาละก็ จบเห่เลยทันที เสียเลยครับ ต้องทำอันใหม่ หรือไม่ก็ดัดแปลงไปทำอันเล็กลงไปเรื่อย ตามแต่สภาพ
รูป 8. พลิกกลับมาทำอีกด้านให้คอยเล็งดูด้านที่ทำไปแล้วด้วย เดี๋ยวจะโตไม่เท่ากัน และเวลาควั่น ตรงโคนใต้ตุ่มหัวไม่ง่าม ระวังมีดสะบัดไปโดนตุ่มขาด จะทำให้เสียของไปเลย ( ย้ำอีกครั้ง )
รูป 9. อันนี้ของผมทำเองใส่สไตล์ คอคอด ตรงส่วนโคนง่ามด้านใน ที่มองปุ๊บรู้ปั๊บว่า เป็นแบรนด์ของผม เพราะตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเห็นใครทำ ก็เลยคิดใส่อะไรลงไปแปลกๆ สวยๆ ซึ่งดูแล้วสวยขึ้นอีกเยอะ

รูป 11. เริ่มทำร่องนิ้ว โดยการกดมีดดักทั้งด้าบนและด้านล่างเพื่อไม่ให้เกิดการแฉลบปาดเอา เปลือกที่ต้องการเก็บไว้เสียหายหลุดออกไป แล้วจะไม่สวย
รูป 12. แสดงให้เห็นการค่อยๆ ปาดเอาเปลือกออกไปทีละนิด จะดีกว่าการกดลึกลุยไปเลย
รูป 13. กว่าจะทำเสร็จครบทุกร่องนิ้ว นานนะครับ แล้วร่องสุดท้ายคือร่องสำหรับนิ้วก้อย นี่จะยากสุดเพราะมีเนื้อที่ๆ จะจับทำน้อยลง วิธีแก้ ต้องปล่อยด้ามไม้ไว้ยาวๆไว้ก่อนพอทำร่องเสร็จแล้วค่อยตัดให้ได้ ตามความยาวที่ต้องการครับ เพราะทำให้การควบคุม ใบมีดได้ดีกว่า แล้วก็ไม่ต้องเสียยาแดงหรือเย็บแผลที่มือด้วย
slingshot – ไม้ยิงนก – ไม้ง่ามหนังสติ๊ก
รูป 14. ใช้ใบมีดคมๆเกลาผิวให้เกลี้ยงเกลา ก่อนลงกระดาษทรายหยาบและละเอียดตามอีกครั้ง ก่อนจะเก็บผิวงาน ก็ต้องเล็งแล้วเล็งอีก ว่ามันมีจุดตำหนิตรงไหนบ้าง สูงต่ำ โย้บิดไปด้านไหนก็แต่งแก้ซะ ไม่มีอันไหนหรอกครับที่จะเท่ากัน ร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะการทำด้วยมือต้องมีตำหนิกันบ้าง การบิดงอของง่ามไม้ เราแต่แก้ได้เท่าที่มันจะทำได้ครับ

ช่างแกะสลักไม้

งานช่างแกะสลัก

สถาบันศิลปกร กรมศิลปากร
ส่วนช่างสิบหมู่

งานช่างแกะสลัก เป็นงานช่างไทยที่มีมาแต่โบราณ งานศิลปกรรมที่เกี่ยวกับการแกะสลักไม้มักรวมเรียกว่า เครื่องไม้จำหลัก นับว่าเป็นงานศิลป์ไทยที่อยู่เคียงคู่กับชาติไทยมาช้านาน ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ แต่ไม้เป็นวัตถุที่เสื่อมสลายดังนั้นศิลปะที่ทำด้วยไม้ดังกล่าวจึงไม่เหลือ ให้เป็นหลักฐานในปัจจุบัน

สมัยสุโขทัย
สมัย สุโขทัย ราวพุทธศตวรรษที่ 19 – 20 งานศิลปกรรมแกะสลักปรากฏให้เห็นในลักษณะงานต่าง ๆ เช่น ใช้เป็นส่วนประกอบโบสถ์ วิหาร อาคาร สถาปัตยกรรมซึ่งมีการแกะสลัก ประดับอาคารอย่างวิจิตรงดงาม แต่ด้วยกาลเวลาล่วงเลย จึงเสื่อมสภาพ ผุพัง 1 สูญหายไป แต่ที่มีเหลือให้พอศึกษาได้ก็เห็นจะได้แก่บานประตูพระปรางค์ วัดพระศรีมหาธาตุ เมืองเชลียง อำเภอ สวรรคโลก ซึ่งขณะนี้อยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จังหวัดพิษณุโลก 

สมัยอยุธยา
สมัยอยุธยา ราวพุทธศตวรรษที่ 20 – 30 งานศิลปกรรมแกะสลักหรือที่เรียกว่า เครื่องไม้จำหลักนี้เจริญรุ่งเรืองที่สุดแขนงหนึ่ง งานศิลปกรรมแกะสลักในสมัยอยุธยานี้ยังคงเหลือตกทอดมาในปัจจุบันอยู่บ้าง เช่น บานประตูโบสถ์ วิหารจำหลักสังเค็ค ธรรมาสน์ ตู้ใส่หนังสือพระไตรปิฏก งานแกะสลักในสมัยอยุธยาไม่ได้ทำเฉพาะประเภทประดับตกแต่งเท่านั้น ยังคิดทำพระพุทธรูปไม้อีกด้วย ซึ่งงานแกะสลักไม้ให้เป็นพระพุทธรูปนั้น เรียกว่าเป็นปฏิมากรรมลอยตัว ซึ่งนับว่างดงามมากชิ้นหนึ่ง ในสมัยอยุธยา คือ ครุฑโขน หรือหัวเรือพระที่นั่ง ปัจจุบันตั้งแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา 2
1. ศิลปากร กรม, ศิลปวัฒนธรรม เล่น 5, (กรุงเทพ : พิฆเณศ, 2525) , หน้า 130
2. เรื่องเดียวกัน หน้า 130 


สมัยรัตนโกสินทร์
สมัยรัตนโกสินทร์ ศิลปะสมัยนี้สร้างสรรค์ขึ้นจากช่างกรุงศรีอยุธยา จึงนับได้ว่าเป็นศิลปะไม้แกะสลักที่สืบทอดศิลปะสมัยอยุธยาโดยตรง ฝีมือแกะสลักก็เป็นแบบสมัยอยุธยา ไม่ว่าจะเป็นหนเาบันไม้แกะสลักรูปเทพนม คันทวย ช่อฟ้า ใบระกา ซึ่งงดงามตามแบบศิลปกรรมไทยในสมัยอยุธยาทั้งสิ้น จะดูผลงานได้จากพระมหาประสาทราชวังที่สร้างในสมัยรัชกาลที่ 1 วัดพระศรีรัตนศาสดาราม วัดพระเชตุพนฯ. และยังมีพระเครื่องพระราชยานที่สร้างในสมัยรัตนโกสินทร์อีกเป็นจำนวนมาก ได้แก่ เรือพระราชพิธี และพระราชยานที่อยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นับว่าเป็นศิลปะงานไม้แกะสลักที่เฟื่องฟูรุ่งเรืองมากในยุครัตนโกสินทร์ตอน ต้น จากการเปรียบเทียบของผู้เขียนที่ได้ศึกษาลักษณะการแกะสลักลวดลายในสมัย อยุธยานั้น
จะ เห็นได้ว่า ลวดลายแกะสลักไม้ศิลปะสมัยอยุธยานั้น จะละเอียดและอ่อนช้อยในการแกะสลักตัวกระหนก และกระจังปฏิญาณ ลักษณะการแกะสลักและปาดตัวลาย จะเป็นการปาดแกะแรตัวลาย เป็นการแกะแบบปาดแบบช้อนลายและการแกะปาดแบบลบหลังลายร่วมกัน เส้นแรตัวลายจะมีลักษณะโอบอุ้มกอดกันเป็นชั้น เช่นกระจังปฏิญาณที่หรากฏบนสังเค็คที่ศาลาการเปรียญหลังเก่าที่วัดเชิงท่า จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และบ่านประตูไม้แกะสลักที่วัดหน้าพระเมรุและวัดพนัยเชิง ซึ่งลักษณะลวดลายการแกะสลักคล้ายกับแกะสลักเป็นลายก้านขดการปากตัวลายจะปาด แบบช้อนลาย และลบหลังลายร่วมกัน ดูเหมือนว่าใบจะก้านเหมือนเถาวัลย์พันเกี่ยวกัน แต่ถ้าเปรียบเทียบลักษณะการแกะสลักบานประตูสมัยสุโขทัย ทวารบาลของวัดพระศรีมหาธาตุเมืองเชลียง อำเภอสวรรคโลก ที่อยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จังหวัดพิษณุโลก กับทวารบาล วัดพระศรีสรรเพชญ ศิลปะสมัยอยุธยา จะเห็นได้ว่า ศิลปะสมัยสุโขทัยจะอ่อนช้อยในเรื่องของเส้น รูปทรง ลีลา และสัดส่วนที่งดงาม ส่วนศิลปะสมัยอยุธยานั้นจะเน้นทางด้านเครื่องทรง แต่ลักษณะรูปทรงสัดส่วนและลีลาท่าทางดูจะเข็งกว่า ทวารบาลของสมัยสุโขทัยดูจะอ่อนช้อยนุ่มนวลกว่ามาก ถ้าจะเปีรยบเทียบลวดลายศิลปะสมัยอยุธยาตอนปลาย กันศิลปะสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น จะเห็นได้ว่ามีลักษณะทางด้านฝีมือจะใกล้เคียงกัน ไม่ว่าจะเป็นการปาด การแกะแรตัวลาย 

ช่างแกะสลัก ก็คือ ช่างที่มีความรู้ ความสามารหถในการออกแบบลวดลายและสามารถถ่ายทอดรูปแบบทีหลังและลวดลายนั้น ด้วยการใช้เครื่องมือและชองมีคมแกะสลักลงบนเนื้อวัสดุ เช่นไม้ หิน โลหะ เขาสัตว์ และบนวัสดุของอ่อน เช่น ผลไม้ หรือหัวของพืช ทำให้เกิดลวดลายและภาพมีแสงเงา และระยะเกิดความสูงต่ำภายในภาพ ซึ่งสามารถสัมผัสได้ด้วยมือและสายตา เป็นภาพสามมิติ อีกทั้งช่างจะต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องตัวลายและภาพจึงจะสามารถทำการ แกะสลักไม้เพราะการแกะสลักนั้นคือกระบวนการที่ช่างต้องใช้เครื่องมือทำการ ขุด ตัด ทอน แล้วแกะเอาเนื้อวัสดุนั้นออก ซึ่งช่างจะต้องใช้ความประณีต อีกทั้งต้องมีความรู้ลักษณะของเนื้อวัสดุ เช่น ทางของเนื้อไม้ อีกทั้งยังต้องรู้เทคนิคและวิธีการใช้เครื่องมือ เพื่อเวลาแกะสลักไม้จะได้ไม้บิ่นและหลุด และช่างควรรู้วิธีการประดิษฐ์เครื่องมือคือ สิ่วและลับให้คมอยู่เสมอ เพื่อเวลาแกะสลักจะทำให้งานที่ออกมานั้นมีความสวยงาม เพราะคมสิ่วประกอบกับความสามารถในฝีมือช่าง

ในสมัยโบราณ วัดบางวัดเป็นแหล่งผลิตช่างแกะสลักที่ได้ทิ้งผลงานไว้ให้กล่าวถึงฝีมือช่าง ที่มีช่างที่ได้ฝึกฝนมาจากวัดนั้น ๆ ซึ่งจะดูได้จากการแกะสลักลวดลาย หน้าบันต่าง ๆ ในวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ล้วนเป็นผลงานต้นสมัยรัตนโกสนิทร์ ซึ่งได้รับการบูรณะให้คงสภาพเดิมจนตราบเท่าทุกวันนี้
ลักษณะงานช่างแกะสลัก เป็นงานศิลปกรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งเรียกว่า งานช่างแกะสลัก เป็นงานช่างฝีมือซึ่งต้องใช้ความชำนาญเฉพาะตัว จะต้องใช้ความประณีต โดยช่างจะต้องถ่ายทอดรูปแบบและลวดลายลงบนวัสดุ ด้วยการใช้สิ่วที่ทำจากโลหะ เหล็กกล้าที่แข็งและเหนียวทำให้เกิดความคมด้วยการตี การเจียรแล้วตกแต่งให้เป็นสิ่วหน้าตรง หน้าโค้ง ขนาดต่าง ๆ และฆ้อนไม้เป็นเครื่องมือในการแกะสลัก สามารถสื่อความรู้สึกได้ด้วยการสัมผัสด้วยมือและด้วยสานตา ซึ่งต้องอาศัยการใช้เครื่องมือให้เป็น ซึ่งการแกะสลักให้ได้ดีนั้นจะต้องรู้จักการใช้สิ่วและฆ้อน ลักษณะงานช่างแกะสลักแต่ละชิ้นนั้น เช่น การแกะสลักพระพุทธรูปก็เห็นว่าเป็นลักษณะของแกะสลักแบบปฏิมากรรมลอยตัว

Wood Burning ศิลปะการวาดลวดลายลงบนไม้

Wood Burning การ สร้างภาพบนผืนไม้ มีหลายวิธี การแกะสลักโดยใช้ความร้อนก็เป็นอีกวิธีหนึ่ง ซึ่งในต่างประเทศนิยมกันมาก และมีมานานแล้ว ซึ่งปัจจุบันนิยมใช้ เลเชอร์ เข้ามาช่วยแต่งเติมผลงาน แต่ในประเทศไทย ก็มีให้เห็นบ้าง แต่วิธีการดั้งเดิมโดยใช้ปากการ้อน ไม่ค่อยมีให้เห็นบ่อยนัก ชิ้นงานของหลายท่านที่พบเห็นก็จากการทำเป็นงานอดิเรก และภาพข้างบนก็เป็นตัวอย่างจากเครื่องเลเชอร์
ภาพผู้ชายเผ่าอินเดีแดง จากการเติมแต่ง จากโปรแกรม Photoshop แล้วทำการสแกนภาพใหม่ เพื่อให้ได้ ความละเอียดสูงขึ้น เปลี่ยนฟอร์แมทเป็น เวคเตอร์ แล้วทำการยิงเลเชอร์ผ่านโปรแกรม Corel draw
รูปภาพจาก Bill & Masayo Bastian

ศิลปการวาดลวดลายด้วย ปากกาความร้อน บนไม้

ศิลปการวาดลวดลายด้วย ปากกาความร้อน บนไม้ (wood burning)
เป็นงานที่ใช้ความร้อนเผาเนื้อไม้ให้เกิดเป็นลวดลาย เป็นที่นิยม กันอย่างแพร่หลายในต่างประเทศ เป็นงานศิลปอันทรงคุณค่า สวยงาม สามารถสร้างผลงานให้โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ และ ประยุกต์ลวดลายได้ตาม ศิลปวัฒนธรรมของเรา
ความลับ ของการสลักลวดลายด้วยความร้อน ในงาน wood burning คือการใช้เครื่องมือ ปากกาความร้อนวาดหรือขีดเขียนลงไปในชิ้นงานไม้ ให้ได้ความเร็วและน้ำหนักอย่างพอเหมาะ ไม่ใช่อาศัยแต่การกดหัวปากกาความร้อนไปเผาไหม้เนื้อไม้
การเคลื่อนไหวอย่างเบามือและรวดเร็วจะสร้างเส้นเล็ก อ่อนไหวดั่งปลายยอดหญ้า และการเคลื่อนไหว อย่างช้าๆ จะทำให้เกิด มิติ เส้นลึก เป็นเงา

ส่วนประกอบของปากกาความร้อน

ส่วนประกอบของปากกาความร้อน
  • อุปกรณ์ ปรับอุณหภูมิ ควบคุมความร้อน สามารถปรับอุณหภูมิได้ 2000 ฟาเรนไฮนต์ ภายใน 8 วินาที
  • หัวปากกา ขนาดต่าง ๆ ภายในมีเกลียวสำหรับต่อกับหัวปากกา
  • ที่วางปากกาความร้อน ทำจากโลหะ เมื่อจะพักการใช้งาน
  • ตัวปากกา
หัวปากามีหลายชนิดและวิธีใช้ที่แตกต่างกัน
  1. ปากกาหัวแบน (Universal Point)
    หัวปากกาชนิดนี้เหมาสำหรับการลากเส้นตรงเล็ก ๆ บาง ๆ ส่วนแหลมสุดของปลายปากกาใช้ทำจุดกลมเล้ก หรือจุดสามเหลี่ยม สันของปลายปากกาใช้ลากเส้นตรงหนาทึบ และเน้นเส้นโค้งให้คมชัด ส่วนด้านข้างของหัวปากกาเหมาะสำหรับแรเงาหรือระบายพื้น
  2. ปากกาหัวมน (Flow Point, Mini Flow Point)
    หัวปากกาชนิดนี้เหมาะสำหรับวาดเส้นที่มีลักษณะ อ่อนช้อยนุ่มนวล เช่น เส้นโค้ง เส้นรัศมี เส้นเคลื่อนไหว และการทำเทคนิคลายจุด โดยการใช้ปลายปากกากลิ้งไปรอบ ๆ จนเกิดรอยไหม้กว้าง หรือลึกตามต้องการ ซึ่งจะทำให้ได้ลวดลายที่มีพื้นผิวสวยงาม
  3. ปากกาแรเงา (Shading point)
    หัวปากกาชนิดนี้มีลักษณะคล้ายเกรียงสำหรับเขียนภาพ คือเป็นแผ่นแบนปลายรีแหลม เหมาะสำหรับแรเงา โดยนาบส่วนที่เป้นแผ่นแบนเรียบนั้นลงไปบนพื้นไม้ แล้วลากไปมาจนเกิดเป็นแสงเงาขึ้น ถ้าต้องการแสงเงาอ่อน ๆ ให้ลากปากกาไปมาเร็ว ๆ เหมือนการระบายสีบาง ๆ แต่ถ้าต้องการเงาเข้มให้ลากปากกาซ้ำไปซ้ำมาช้า ๆ สามารถใช้ร่วมกับหัวปากกาชนิดอื่น ๆ ได้ การทำเส้นโค้ง โดยเอียงปากกาขึ้น 45 องศา แล้วใช้เส้นโค้งด้านข้างปากกาทำลวดลาย ส่วนปลายแหลมของหัวปากกาใช้เขียนเส้นเล็กละเอียด
    เนื่องจากหัวปากกาชนิดนี้ใช้สำหรับแรเงา ความร้อนจึงน้อยกว่าปากกาหัวแบน เส้นที่ได้จึงเป็นเส้นอ่อนบาง
  4. ปากาหัวแหลม (Cone Point)
    หัวปากกาชนิดนี้เป็นรูปกรวยแหลมเหมือนปลายดินสอ หรือหัวปากกาทั่วไป มีขนาดค่อนข้างเล็ก ใช้สะดวก เหมาะสำหรับการเขียนตัวอักษร วาดเส้นทุกประเภท ทำจุดไข่ปลา ทำลายจุด วาดเส้นอิสระ
    การใช้ปากกาหัวแหลมต้อวระวังการฝนเขม่าดำ ออกจากหัวปากกา โดยการกลิ้งหัวปากกาไปรอบ ๆ และอย่าลืมลากปากกาเข้าหาตัวทุกครั้งที่ลากเส้น

การเลือกใช้ปากกาความร้อน ในงานWood Burning

การเลือกใช้ปากกาความร้อนให้เหมาะสม Picking the right Wood Burning Pen:
ปากกาความร้อน ปัจจุบันได้พัฒนาไปมาก ทั้งการออกแบบ และน้ำหนัก ไม่เหมือนสมัยก่อนที่ดูเหมือน ช่างไฟฟ้าเลยทีเดียว ทำให้การทำงานง่ายมากชึ้น โดยเฉพาะน้ำหนักเบาขึ้น การวาดเส้นบาง ๆ เช่น ขนนก ทำได้สะดวกมือทีเดียว มีหลากหลายยี่ห้อ และราคา ก็เลือกที่เหมาะกับเราที่สุด ดูในแง่ราคาสมเหตุสมผล บ้านเราหาซื้อยากซักหน่อย ถ้ารอได้ ก็นำเข้ามาเอง หรือ ไปที่ ebay มีทั้งของใหม่ และของใช้แล้ว
ปากกา ความร้อน ส่วนใหญ่จะบอกย่านรายละเอียดอุณหภูมิ ที่สามารถปรับได้ ที่ตัวกล่อง และตัวกล่องควบคุมความร้อนคุณภาพที่ดี จะมีลูกบิดเซ็ทอุณหภูมิที่ให้ปรับเปลี่ยนจาก500 - 900 องศา บางบริษัทสามารถปรับได้ถึง 2000 องศาเลยทีเดียว ปากกาความร้อน ราคาถูก อาจไม่สามารถปรับอุณหภูมิได้ คือเซ็ทค่าตายตัวประมาณ 600 องศาแบบคงที่ แล้วคุณจะเลือกแบบไหน ทำเป็นงานอดิเรก หรือถ้าต้องการพัฒนาสูงขึ้น คุณควรเลือกแบบที่สามารถปรับเปลี่ยนอุณหภูมิได้
ส่วน หัวปากกาความร้อน ควรที่จะถอดหรือปรับเปลี่ยนหัวปากกาได้ เพื่อสะดวกในการทำงานที่หลากหลาย สิ่งที่ควรระวังในการถอดเปลี่ยนหัวปากกา ควรเปลี่ยนหัวปากกาขณะที่หัวปากกาคลายความร้อนแล้ว และต้องแน่ใจว่าหัวปากกาใส่พอดีกับตัวด้ามปากกา เพราะอุณหภูมิจะไม่ได้ตามที่กำหนด ผลงานจะออกมาไม่ดี
การ ทำความสะอาดหัวปากกาความร้อน ถ้าคุณใช้กระดาษทรายเพื่อกำจัดคราบเขม่าดำจากการเผาไหม้เนื้อไม้ จากปลายปากกาของคุณบ่อย ๆ คุณจะพบว่าส่วนปลายสึกกร่อนเร็ว และจะทำให้หัวปากกาคุณอายุการใช้งานสั้นลง ควรใช้หินขัด ที่ทำความสะอาดหัวปากกาที่ผลิตจากโรงงานจะดีกว่า
ข้อสังเกต ไม้ บางชนิดจะมีความเป็นกรด ที่ทำให้หัวปากกา สึกเร็วขึ้น และการปล่อยให้หัวปากกาความร้อนสกปรก มีคราบเขม่าดำ จะทำให้ผลงานที่ได้ไม่เสมอต้นเสมอปลาย

Wood Burning samples I

Fine Point Techniques
เส้นตรงและเส้นโค้งถือเป็นลายพื้นฐานในการวาด ที่นำไปสร้างสรรค์งานต่าง ๆ ได้มากมาย
จับปากกาเอียง 45 องศา และลากปากกาเข้าหาตัวเสมอ ใช้สันปากกาในการลากเส้น เส้นและลวดลายต่าง ๆ เกิดจากความร้อนเผาไหม้พื้นผิวไม้ ไม่ได้เกิดจากการกดน้ำหนักลงบนพื้นผิวไม้ ดังนั้นถ้าต้องการลายเส้นที่มีสีเข้ม หรือน้ำหนักมาก ให้ลากปากกาช้า ๆ ถ้าต้องการลายเส้นที่มีสีอ่อน หรือมีน้ำหนักเบา ให้ลากปากกาเร็ว ๆ และถ้าต้องการลายที่ดำชัดเป็นส่วน ๆ ให้ใช้ปากกาจี้นาน ๆ หรือฝนไปมาหลายครั้งลวดลายที่โค้งไปมาสามารถขยับ หรือเคลื่อนชิ้นไม้แทนการขยับปากกา หรือมือของผู้ใช้
Soft Point Techniques
เหมาะสำหรับวาดเส้นที่ต้องการความอ่อนช้อย นุ่มนวล เช่น เส้นขอบ ลายพื้น เส้นโค้ง เส้นหยัก วงกลมวงเล็ก ๆ หรือลายเส้นรูปตัว C
จับปากกาให้ตั้งขึ้นกว่าการเขียนเส้นตรงเล็กน้อย ให้ปลายปากกาส่วนที่แหลมสุดสัมผัสกับพื้นผิวไม้ อย่าลืมฝนเขม่าดำที่จับตรงหัวปากกาออกให้หมดก่อน อย่ากดหัวปากกา ควรลากช้า ๆ ให้เกิดลวดลายจากการเผาไหม้
การทำวงกลมเล็ก ๆ ใช้วิธีเขียนตัว C แล้วตามด้วย ตัว C กลับข้าง ...ขณะทำลวดลายสามารถขยับ หรือเคลื่อนชิ้นไม้แทนการขยับปากกา หรือมือของผู้ใช้

Bold Point Techniques
ใช้วาดเส้นเส้นกรอบ ขอบภาพ หรือเส้นที่ลึกดำเข้ม เพื่อเน้นความคมชัด ทำได้ทั้งเส้นตรง เส้นโค้ง และภาพลายเส้นขาว-ดำที่ไม่ต้องการระบายสีเพิ่มเติม
จับปากกาให้เอียง 45 องศา ใช้สันปากกาหัวแบนลากลงบนลายช้า ๆ พร้อมกับกดน้ำหนักลงบนเนื้อไม้เพื่อเพิ่มความลึกชัดและความเข้ม บังคับปากกาให้เคลื่อนไปเรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่องตามลวดลายที่ลงไว้แล้ว เทคนิคนี้ใช้เวลามากกว่าเทคนิคอื่น ๆ เนื่องจากต้องใช้ปากกาเผาไหม้นาน ๆ เพราะต้องการให้เข้มมาก
Side Shading Techniques
การทำเงา และระบายพื้นที่ในภาพ จะช่วยเพิ่มน้ำหนักให้ภาพดูมีมิติสมจริงขึ้น
ใช้สันปากกาหัวแบนลากไปมาจนเกิดรอยไหม้ โดยเอียงปากกาไปทางขวา และซ้ายกลับไปกลับมา จับปากกาเบา ๆ ไม่ต้องดกน้ำหนักลงไป ให้สันปากกาเผาไหม้จนเกิดรอยไหม้เป็นพื้นที่กว้าง สำหรับไม้เนื้ออ่อนจะเกิดเงาได้ง่าย ถ้ากดแรงไปจะทำให้ไม้เกิดรอยไหม้ดำมาก แต่หากต้องการให้ภาพเข้มจัด อาจจะกดปากกาให้แรงขึ้นและทำช้า ๆ ไปเรื่อย ๆ โดยเฉพาะไม้เนื้อแข็ง เช่น ไม้มะขาม ไม้สัก ฯลฯ ต้องใช้เวลามากเป็นพิเศษ จุดสำคัญของเทคนิคคือ ต้องใช้แรงกดเท่า ๆ กันในการเตลื่อนปากกาไปมา จะทำให้เกิดลายที่นุ่มนวลสม่ำเสมอมากกว่าการทำ ๆ หยุด ๆ หรือกดบ้าง หยุดบ้าง


Wood Burning samples

Dot Shading Techniques

การวาดลวดลายโดยใช้เทคนิคนี้ จะทำให้ภาพดูนุ่มนวล สบายตา มีน้ำหนัก หรือดูฟูขึ้น ดังนั้นเทคนิคนี้ จึงเหมาะกับภาพแนวธรรมชาติ การ์ตูน สัตว์ ขนสัตว์ เงาของดวงจันทร์หรือของดวงอาทิตย์ เป็นต้น

ใช้ปากกาหัวแหลมหรือหัวมน กดปากกาลงบนไม้ให้เป็นจุดสม่ำเสมอกัน กำหนดขอบเขตของจุดบนลวดลายไว้ก่อน การกดจุดควรเริ่มจากกดจุดน้อย ๆ ก่อน แล้วค่อย ๆ เพิ่มให้มากขึ้นตามต้องการ บริเวณที่ต้องการความเข้มมากให้กดจุดถี่ ๆ ส่วนที่ต้องการความสว่างมากกว่าให้กดจุดห่าง ๆ นอกจากนี้ น้ำหนักมือและเวลาในการกดจุดแต่ละจุดควรสม่ำเสมอกัน เพื่อให้จุดมีความเข้มใกล้เคียงกัน จะได้ภาพดูกลมกลืนต่อเนื่องเป็นเนื้อเดียวกัน

Tip Shading Techniques
ใช้ในการวาดลวดลายบนพื้นที่แคบ ๆ เล็ก ๆ ผลที่ได้คล้ายกับการทำเงา และระบายพื้น

ใช้สันปากกาหัวแบนระบายไปตามพื้นที่แคบ ๆ เพื่อเพิ่มความละเอียดของลายเส้นหลักที่ทำไว้แล้ว โดนแซะซอนไปตามลวดลายที่วาดไว้ จะทำยากกว่าพื้นที่กว้าง ต้องระวังไม่ให้ปลายปากกาไปทำให้ลายหลักเสีย หรือถูกเผาไหม้ไปด้วย ถ้าต้องการความเข้มมาก ให้ใช้ปากกาจี้แช่เป็นจุด ๆ จนเกิดรอยไหม้เฉพาะส่วน แล้วใช้สันปากการะบายเงาต่อเนื่องกันไปให้เต็มพื้นที่ เทคนิคนี้ยังใช้ทำวงกลมระบายส่วนที่มืดได้ด้วย เช่น ระบายผม ลักษณะของภาพจะอ่อน-เข้มต่างกันอย่างชัดเจน

Line Shading Techniques

ใช้วาดภาพที่มีลักษณะเป็นเส้นโดยเฉพาะเส้นตรง เพื่อให้ภาพละเอียดสวยงามขึ้น มีเอกลักษณ์แตกต่างจากเทคนิคอื่น ๆ

ใช้ส่วนแหลมสุดของปากกาหัวแบน ลากเส้นเข้าหาตัวผู้เขียนทีละเส้น ๆ เรียงกันไป น้ำหนักมือและเวลาในการลากควรสม่ำเสมอ เพื่อให้ได้ลายเส้นที่นุ่มนวลเท่า ๆ กัน หากต้องการเส้นหนาชี้นให้ใช้สันปากกาแทน หรือใช้ปลายปากกากดทำเส้นเริ่มต้น แล้วดึงเข้าหาตัวดดยใช้สันปากกา จะได้เส้นที่มีน้ำหนักอ่อน เข้มไม่เท่ากัน ให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไป อย่างเช่น การวาดเส้นรัศมีเป็นต้น เทคนิคนี้หากวาดเส้นถี่มากจะทำให้เกิดความเข้มมาก แต่ถ้าเส้นถี่น้อย จะทำให้ดูอ่อนบางลง

Woodburning project

เมื่อคุณพร้อมที่เริ่มทำงาน Woodburning project ให้แน่ใจว่าเรามีวัสดุอุปกรณืต่าง ๆ พร้อมแล้ว และให้แน่ใจว่าไม้วัตถุดิบไม้ที่เราจะนำมาใช้งาน ต้องสะอาดปราศจากฝุ่น และคมไม้ตามขอบมุมไม้ และเตรียมกระดาษทราย เบอร์ 100 และเบอร์ 200
วัสดุอุปกรณ์
- ปากกาความร้อน
- คีม สำหรับเปลี่ยนหัวปากกา
- ดินสอดำ
- ยางลบ
-ไม้ชิ้นงาน เช่น กล่องไม้ กรอบรูป ฯลฯ
- กระดาาทรายเบอร์ 0
- แล็กเกอร์แบบสเปรย์
- ผ้าที่สะอาด
- กระดาษวาดลวดลาย
- กระดาษคาร์บอน
- เทปกาว
- กรรไกรตัดกระดาษ
- ดินสอ
- สีน้ำมัน

แบบลวดลายตามต้องการ
Preparing a Work Space
ก่อนอื่นต้องหาสถานที่ และคำนึงถึงความปลอดภัย เพราะเป็นงานที่เกี่ยวกับความร้อนและไฟฟ้า ควรเป็นที่เฉพาะและระวังเด็กเล็ก ๆ ด้วย บริเวณที่ทำงาน ควรโล่งไม่มีอะไรมากีดขวางการทำงาน และมีที่เก็บอุปกรณ์ต่าง ๆ เวลาเลิกจากการทำงาน

ข้อควรระวังเมื่อใช้ปากกาความร้อน

  1. ควรเช็ดมือ และเท้าให้แห้งก่อนทำงานทุกครั้ง เพื่อป้องกันไฟดูด
  2. สถานที่ ควรโล่งอากาศถ่ายเทสะดวก และไม่มีสิ่งของกีดขวาง
  3. เมื่อพักการใช้งานทุกครั้ง ควรวางปากกาไว้ที่พักหัวปากกา เพื่อไม่ให้หัวปากกาสัมผัสกับโตะทำงาน หรือวัสดุอื่น ซึ่งอาจจะติดไฟได้
  4. ระวังอย่าให้ปากกาชื้น หรือเปียกน้ำ เพราะอาจเกิดไฟดูดได้
  5. ห้ามล้างปากกาด้วยน้ำเด็ดขาด ให้ใช้ผ้าเช็ดทำความสะอาด
  6. ระวังอย่าให้ปากกาตก เพราะหัวปากกาอาจคด หรือหักได้
  7. ควรให้สายไฟอยู่ด้านนอกของมือผู้ใช้เสมอ เพื่อป้องกันไม่ให้หัวปากกาที่ร้อนจัดสัมผัสกับสายไฟของปากกา
  8. ไม่ควรให้หัวปากกาสัมผัสกับพื้นผิวอื่นนอกเหนือจากไม้ ดดยเพาะวัสดุที่ติดไฟง่าย
  9. หากจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนหัวปากกาในขณะที่หัวปากกายังร้อนอยู่ ให้ใช้คีมปากแบนคีบหัวปากกา
  10. ขณะทำงานให้จับเฉพาะด้ามปากกาซึ่งเป็นฉนวนเท่านั้น ห้ามจับส่วนที่เป็นโลหะเด็ดขาด
  11. ห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 10 ปี ใช้ปากกาความร้อน เพราะอารเกิดอุบัติเหตุ ให้อยู่ภายใต้การดูแลของผู้ใหญ่
  12. ถอดปลั๊กไฟทุกครั้งหลังใช้งาน
  13. พึงระลึก ปลอดภัยไว้ก่อน

ดูแลปากกาความร้อน

การตรวจสอบ และดูแลปากกาความร้อน
  1. ตรวจสอบระบบ ไฟฟ้าที่ใช้กับอุปกรณ์ปากกาความร้อน บ้านเราใช้ไฟฟ้า โดยมีแรงดันไฟฟ้า 220 V หากอุปกรณ์ต้องการแรงดันไฟฟ้า 110 V ควรต้องใช้เครื่องแปลงกระแสไฟฟ้า
  2. ตรวจสอบหัวปากกา หลวมหรือแน่นดีแล้วหรือยัง
  3. เลือกใช้หัวปากกาความร้อน ให้เหมาะกับงาน และลวดลายที่ใช้
  4. ก่อนใช้งานควรเสียบปลั๊กไฟฟ้าทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที เพื่อให้ได้ค่าความร้อนที่ต้องการ
  5. ถ้าใช้ปลั๊กพ่วง ควรเลือกอุปกรณ์ที่ได้มาตราฐาน แบบม้วนเป็นขดที่ขายตามห้างสรรพสินค้า ไม่เหมาะกับงานนี้ เพราะเราต้องใช้เวลาทำงานนาน และอุปกรณ์ปากกาความร้อนใช้กระแสไฟฟ้าสูง
  6. ขณะใช้งานหัว ปากกาจะมีเขม่าดำจับ ให้ฝนหัวปากกากับวัสดุที่ผลิตมาจากโรงงาน ถ้าไม่มีก็ใข้กระดาษทรายเบอร์ละเอียด และระวังจากการสึกของหัวปากกา
  7. หากใช้เวลานานติดต่อกัน 4-5 ชั่วโมง ควรพักการใช้งานสักครู่
  8. ถอดปลั๊กไฟทุกครั้งหลังใช้งาน และทิ้งไว้ให้เย็นก่อนเก็บในที่ปลอดภัย
  9. หลังการใช้งาน ให้เช็ดทำความสะอาดหัวปากกาด้วยผ้าแห้ง ห้ามใช้ผ้าเปียก

Wood for woodburning


การเลือกชิ้นไม้เพื่อทำลวดลาย
  • เลือกชนิดของเนื้อไม้ว่าเป็นประเภทใด เนื้ออ่อน หรือเนื้อแข็ง ไม้ทุกชนิดนำมาใช้งานได้ แต่ไม้เนื้ออ่อน อย่างไม้ฉำฉา ไม้สน ไม้ยางพารา หรือม้บัลซา เป็นต้น จะวาดและตกแต่งลวดลายได้ง่ายกว่าไม้เนื้อแข็ง
  • เลือกสีของเนื้อไม้ว่ามีสีอ่อน หรือสีเข้ม เหมาะกับลวดลาย และเทคนิคการทำสีแบบไหน
  • เลือกพื้นผิวของเนื้อไม้ว่าละเอียด หรือหยาบ เหมาะกับลวดลาย และการตกแต่งแบบไหน
  • เลือกรูปแบบของไม้ว่ามีลักษณะรูปทรงอย่างไร เช่น เป็นแผ่น เป็นถาด เป็นกล่องกลม กล่องสี่เหลี่ยม ฯลฯ เหมาะกับลวดลายแบบไหน และควรนำไปใช้ประโยชน์อะไร
การเตรียมชิ้นไม้เพื่อทำลวดลาย
  • เช็ดฝุ่น และสิ่งสกปรกออกจากไม้ให้สะอาด
  • ใช้กระดาษทรายขัดผิวไม้ให้เรียบ
  • ถ้าผิวไม้เคลือบน้ำมันซักเงาอย่างแล็กเกอร์ เชลแล็ก หรือวานิชมาแล้ว ให้ใช้กระดาษทรายขัดออกให้หมดก่อน เพราะน้ำมันดังกล่าวจะละลายหากโดนความร้อน และทำให้ระบายสีได้ไม่เรียบเนียนสวยงาม
  • ถ้าไม้ชื้น ควรตาก หรือเป่าให้แห้งสนิทก่อนนำไปใช้งาน

ขั้นตอน การวาดลวดลาย

  • เลือกแบบลายที่จะทำโดยวาดบนกระดาษเปล่า หรือลอกลายสำเร็จบนกระดาษลอกลายที่เตรียมไว้
  • จัดวางตำแหน่งของลวดลายลงบนวัสดุที่จะวาดคร่าวๆ ให้พอดีกับชิ้นงาน ดูว่าต้องลด หรือเพิ่มส่วนไหนอีกบ้าง
  • ลอกลายลงบนพื้นผิววัสดุที่จะวาด โดยใช้กระดาษคาร์บอนซ้อนด้านล่างแผ่นลาย แล้วติดเทปยึดบนวัสดุเพื่อกันไม่ให้ลายเคลื่อนที่ ลอกลายด้วยปากกาลูกลื่น หรือสีที่แตกต่างจากลายเส้นเดิม เพื่อให้เห้นชัดเจนว่าลอกส่วนใดไปบ้างแล้ว ลายที่ลอกจะติดบนเนื้อไม้ที่อยู่ด้านล่าง
  • ทดสอบความร้อนของปากกาบนเศษไม้ก่อนลงมือจริง
  • วาดลวดลายโดยใช้ปากกาความร้อน เพื่อสร้างสรรค์ลวดลายต่าง ๆ เริ่มจากวาดลายเส้นหลักทั้งหมดก่อน
  • เมื่อเกิดเขม่าที่ปลายปากกา ให้ฝนออกโดยกลิ้งเบา ๆ ที่กระดาษทราย
  • แรเงา หรือใช้เทคนิคอื่น ๆ ตกแต่งให้ทั่วลาย
  • ระบายสีอ่อน ๆ ให้ทั่วภาพ หรือเฉาะส่วนที่ต้องการ โดยเลือกใช้สีที่เข้ากับลาย
  • ใช้ปากกาความร้อนวาดซ้ำในส่วนที่ต้องการเน้นความคมชัด ลงแสงเงาต่าง ๆ หรือระบายสีเพิ่มเติม
  • เคลือบน้ำมันซักเงา หรือแล็กเกอร์เพื่อรักษาลวดลาย และเนื้อไม้ให้คงทนสวยงาม

ขั้นตอน การระบายสี

การระบายสี เป็นขั้นตอนสำคัญอีกขั้นตอนหนึ่ง ที่จะทำให้ชิ้นงานเกิดความสวยงาม การระบายวิธีที่ 1

  • หลังจากวาดลวดลายหลักด้วยปากกาความร้อนแล้ว ควรลบเส้นลอกลายเดิมออกให้หมดก่อนลงสี
  • ระบายสีอ่อน ๆ ก่อนเพื่อทดสอบ ถ้าไม่แน่ใจว่าจะใช้สีใด ให้ระบายลงในแบบลายร่างที่ใช้ลอกลงบนชิ้นงาน เพื่อดูว่าสีที่เลือกใช้นั้นสวยงามเหมาะสมอย่างที่คิดไว้หรือไม่ ถ้าแน่ใจแล้วว่าไม่ต้องการเปลี่ยนแปลง ค่อยระบายสีลงบนเนื้อไม้ โดยเริ่มจากสีอ่อนไล่ไปหาสีเข้ม
  • ใช้ปากกาความร้อนวาดลวดลายเพิ่มเติม เก้บรายละเอียดให้ครบถ้วน
  • หลังลงสีเรียบร้อยแล้ว จะวาดลายเส้นเพิ่มก้ได้ แต่ไม่ค่อยดีนัก เพราะจะทำให้เกิดเขม่าจับตรงปลายปากกา
การระบายวิธีที่ 2
  • ใช้ดินสอดำร่างลวดลายที่ต้องการลงบนไม้ให้สมบูรณ์
  • ลงสีครั้งที่ 1 เป็นสีอ่อนและสีกลาง
  • ลงลวดลายด้วยปากกาความร้อนตามรอยดินสอที่วาดไว้ โดยวาดเส้นหลัก ๆ ก่อนแล้วค่อยลงเส้นรายละเอียดทีหลัง
  • ลงสีครั้งที่ 2 ให้เป็นสีเข้มเพื่อเน้นแสงเงา และความคมชัดของภาพ แต่ไม่ควรระบายสีทับเส้นที่วาดด้วยปากกาความร้อนไว้แล้ว

เทคนิคการตกแต่งสี

 These oil color pencils are semi-opaque, so the woodgrain can still be seen through a veil of rich color.

   Oil color pencils are a simple, quick, clean alternative to painting or stenciling on wood. This makes them an ideal medium for the beginner or advanced artisan.

   การให้สี หรือการระบายสี เป็นขั้นตอนที่สำคัญเช่นเดียวกับการวาดลวดลายลงบนชิ้นไม้ เพราะจะช่วยเสริมลวดลายให้สวยงามเด่นสะดุดตามากกว่ารอยไม้อย่างเดียว โดยเฉพาะชิ้นงานใหญ่ ๆ เช่น ภาพการ์ตูน หรือภาพเลียนแบบธรรมชาติ การเลือกเทคนิคลงสีอย่างถูกต้องเหมาะสมจะช่วยเสริมผลงานให้ออกมาดียิ่งขึ้น

   สีที่เหมาะจะระบายลงบนลวดลายซึ่งวาดด้วยปากกาความร้อนมากที่สุด คือ ดินสอสีน้ำมัน ซึ่งเป็นสีน้ำมันที่มีคุณสมบัติเฉพาะตัว

    -ระบายสีทับกันไปมาได้ โดยสีจะผสมกันเอง ทำให้เกิดสีสันที่กลมกลืนสวยงาม
    -มีประกายสีชัดเจน นุ่มนวล ติดทนนานบนเนื้อไม้
    -เคลือบเงาได้โดยความเข้มของสีไม่เปลี่ยนแปลง ไม่เหมือนสีไม้ธรรมดาทั่วไป
    -ติดทนนานไม่เลาะเทอะหรือหลุดลอกง่าย
    -สามารถลบสีที่ไม่ต้องการออกได้ด้วยยางลบดินสอ
    -ไม่เป็นพิษ หรือทำลายสิ่งแวดล้อม

เทคนิคพิเศษในการระบายสี

1. เทคนิคการทำสีกลมกลืน (Pastel Sketch Techniques)
   เป็นเทตนิคการทำสีให้กลมกลืน โดนเริ่มจากระบายสีอ่อนไปหาสีเข้ม การระบายสีต้องเลือกสีที่กลมกลืนกัน และระบายต่อเนื่องให้มีน้ำหนักเท่า ๆ กัน ให้สีผสมกันไปในตัว ไม่แยกออกเป็นชั้น ๆ อาจใช้สำลีก้าน (Cottonbud) เกลี่ยสีให้เรียบเป็นเนื้อเดียวกัน

2. เทคนิคการทำสีเข้ม (Solid Color Techniques)
   เป็นเทคนิคที่ใช้ เมื่อต้องการให้สีมีความเข้มมาก หรือต้องการให้สีดูมีน้ำหนัก เพื่อเน้นความคมชัด และเห็นความแตกต่างของน้ำหนักสีอย่างชัดเจน มักใช้ในขั้นตอนที่ 4 ของการระบายสี เริ่มจากการฝนสีให้ได้น้ำหนักเข้มตามต้องการ ควรระบายสีให้มีน้ำหนักสม่ำเสมอกัน ถ้าต้องการให้เห็นความแตกต่างให้ลงสีทึบคู่กับสีอ่อน จะทำให้เกิดแสงเงาบนภาพที่แตกต่างกันออกไป หรือถ้าลงสีเข้มตลอดทั้งภาพ จะได้ภาพที่คมชัดคล้ายภาพพิมพ์

3. เทคนิคการทำไฮไลต์ (Highlight Techniques)
    เป็นเทคนิคการเพิ่มแสงเงา เพื่อให้เกิดความโดดเด่นในภาพ ภาพจะดูมีมิติขึ้นมา ไม่แบนราบเกินไป การทำให้ภาพเกิดแสงเงา ทำได้โดยใช้สีขาว สีครีม หรือสีเนื้อ ระบายทับลงบนสีเดิมเฉพาะส่วนที่ต้องการให้เกิดความนูน หรือความสว่างที่เรียกว่า "ไฮไลต์"
นอกจากนี้อาจใช้เทคนิคการเว้นที่ว่างเฉพาะส่วนเอาไว้บนพื้นสีเข้ม เพื่อเพิ่มสีอ่อนลงไปภายหลัง จะทำให้เกิดแสงสว่างหรือจุดไฮไลต์ขึ้นมาได้เช่นกัน

4. เทคนิคการใช้สีน้ำมัน (Oil Wash Techiques)
   นอกจากดินสอสีน้ำมันแล้ว ยังใช้สีน้ำมันชนิดน้ำได้ด้วย โดยผสมสีน้ำมัน 3 ส่วน กับน้ำมันสน 1 ส่วน ผสมให้ได้สีตามต้องการ ใช้ภู่กันระบายทิ้งไว้ให้แห้ง 3-7 วัน ระวังอย่าระบายทับลวดลายที่วาดด้วยปากกาความร้อนไว้แล้ว ถ้าต้องการเน้นเส้นกรอบก้สามารถวาดเพิ่มได้หลังระบายสีแล้ว

5. เทคนิคการใช้สีอะครีลิค (Acrylic Colour Techniques)
นอกจากดินสอสีน้ำมัน และสีน้ำมันชนิดน้ำแล้ว ยังมีสีที่ใช้ได้อีกชนิดหนึ่งคือสีอะครีลิก ซึ่งเป็นสีที่ใช้สะดวก แค่ผสมสีกับน้ำก้สามารถใช้งานได้แล้ว ส่วนการล้างภู่กันก็ใช้น้ำธรรมดาเช่นกัน สีอะครีลิกระบายง่ายและแห้งเร็วภายในเวลา 2-3 ชั่วโมง แต่ถ้าทิ้งให้แห้งสนิทจริง ๆ ใช้เวลาประมาณ 3 วัน จึงจะลงลวดลายปากกาความร้อนเพิ่มเติมได้

เทคนิค การเคลือบลวดลาย


การเคลือบลวดลายบนเนื้อไม้เป็นขั้นตอนสำคัญอีกขั้นตอนหนึ่ง ที่จะช่วยให้ชิ้นงานโดดเด่นขึ้น ช่วยรักษาคุณภาพของลวดลายที่วาดไว้ อีกทั้งยังรักษาเนื้อไม้ให้คงทนยาวนาน เหมาะกับการใช้งาน ไม่ว่าจะนำชิ้นงานนั้นไปเป็นเครื่องประดับตกแต่งบ้านหรือเป็นเครื่องใช้ในบ้านก้ตาม

การเคลือบลวดลายทำได้หลายวิธี ดังนี้

    เคลือบด้วยอะคริลิกแล็กเกอร์
    เคลือด้วยแล้กเกอร์แบบสเปรย์
    เคลือบด้วยสีย้อมไม้
    เคลือบด้วยเซลแล้ก
    เคลือบด้วยวานิช
    เคลือบด้วยยูรีเทน
    เคลือบด้วยเรซิ่น
    เคลือบด้วยน้ำมันกันเชื้อรา
    เคลือบด้วยสีกากเพชร


การลบลวดลายที่ไม่ต้องการ

การลบลวดลายที่ไม่ต้องการ

   - ลวดลายที่วาดด้วยดินสอ ให้ลบออกด้วยยางลบดินสอชนิดอ่อน
   - ลวดลายที่เกิดจากการลอกลายด้วยกระดาษคาร์บอน ให้ลบออกด้วยยางลบหมึกชนิดแท่งแข็ง
   - ลวดลายที่เกิดจากการวาดด้วยปากกาความร้อน ให้ขัดด้วยกระดาษทรายเบอร์ 0
   - ลวดลายที่ระบายด้วยดินสอสีน้ำมัน ให้ลบออกด้วยยางลบดินสอชนิดอ่อน
   - ลวดลายที่ระบายด้วยสีน้ำมันชนิดน้ำ ให้ลบออกด้วยน้ำมันสน ถ้าสียังไม่แห้งให้ลบออกด้วยทินเนอร์ แต่ถ้าสีแห้งแล้วลบออกไม่ได้ ต้องทาสีใหม่ทับ
   - ลวดลายที่ระบายสีด้วยสีอะคริลิก ให้เช้ดออกด้วยกระดาษทิชชู่ในขณะที่สียังไม่แห้ง
   - ลวดลายที่เคลือบเงาแล้วไม่ควรลบ เพราะจะทำให้เนื้อไม้ และลวดลายเสีย แต่ถ้าต้องการลบจริง ๆ ให้ขัดออกด้วยกระดาษทรายเบอร์ 0

ลงลายไม้ด้วยปากกาความร้อน รูปสุนัข

by aphelionart.com

Dog Wood Burning ลงลายไม้ด้วยปากกาความร้อน รูปสุนัข

wood burning เป็นงานศิลปะที่ใช้ความร้อนเผาลงไปในเนื้อไม้ที่มีมาแต่โบราณ เครื่องมือที่ใช้ในปัจจุบันเป็นปากกาความร้อนที่มีความสะดวกทั้งขนาด และน้ำหนัก
เลือกรูปภาพที่ต้องการ
ใช้ดินสอวาดที่ไม้เพื่อชี้เค้าโครงและการแรเงา. ภาพนี้ถูกทำให้มืดเพื่อชี้เส้น
ใช้ปากกาความร้อนร่างตามลายดินสอ ทีแรกเริ่มบริเวณที่มืดที่สุด จากนั้นการเลื่อนทีละเล็กละน้อยในบริเวณอ่อนกว่า
 เริ่มต้น ในที่และเพิ่มการแรเงาที่ภาพ การแรเงา โดยนาบส่วนที่เป้นแผ่นแบนเรียบนั้นลงไปบนพื้นไม้ แล้วลากไปมาจนเกิดเป็นแสงเงาขึ้น ถ้าต้องการแสงเงาอ่อน ๆ ให้ลากปากกาไปมาเร็ว ๆ เหมือนการระบายสีบาง ๆ แต่ถ้าต้องการเงาเข้มให้ลากปากกาซ้ำไปซ้ำมาช้า ๆ สามารถใช้ร่วมกับหัวปากกาชนิดอื่น ๆ ได้ การทำเส้นโค้ง โดยเอียงปากกาขึ้น 45 องศา แล้วใช้เส้นโค้งด้านข้างปากกาทำลวดลาย ส่วนปลายแหลมของหัวปากกาใช้เขียนเส้นเล็กละเอียด
ขั้นตอนสุดท้าย คือการลงสีที่เป็นธรรมชาติ เพื่อความสวยงาม และป้องกันเนื้อไม้
ภาพ wood burning เป็นรูปสุนัข ที่ใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง

งานจิตรกรรมไทยบนฝาผนัง

สถาบันศิลปกร กรมศิลปากร
ส่วนช่างสิบหมู่

    - ออกแบบและเขียนแบบ เรื่องราวที่นิยมนำมาเขียนบนฝาผนัง จะเป็นฝาผนังของโบสถ์ วิหาร พระระเบียง วิหารคด พระที่นั่ง หอพระ หอไตรหรือหลังบานประตูหน้าต่าง ล้วนแล้วแต่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับศาสนาพุทธเป็นหลัก เป็นต้นว่า ทศชาติ นอกจากนี้ก็มีรามเกียรติ์เป็นสำคัญ เรื่องราวต่าง ๆ เหล่านี้ได้แฝงไว้ซึ่งขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมของไทยในยุคที่มีการเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนัง โดยออกแบบและเขียนแบบในลักษณะที่เราเรียกว่าการมองภาพแบบตานกบิน ในการร่างแบบ ควรร่างบนกระดาษร่าง หรือกระดาษบรู๊ฟเสียก่อน
   - ทำแบบปรุ นำแบบที่ได้ร่างไว้และปรับลายจนเรียบร้อยดีแล้ว มาทำแบบปรุโดยใช้กระดาษไข เบอร์
    70-75 แกรม วางทับลงไปบนแบบที่ได้ร่างไว้แล้ววางซ้อนใต้แบบอีก 2-3 แผ่น ลงมือปรุแบบ โดยใช้เข็มปรุแบบจนแล้วเสร็จ ตรวจดูความเรียบร้อย ไม่หลงลืม โดยเช็คดูจากแผ่นกระดาษไขบนแบบร่าง ในการยึดแบบร่างกับกระดาษไข เพื่อกันไม่ให้เคลื่อนขณะปรุแบบใช้แม็กเย็บกระดาษเย็บโดยรอบแบบ เสร็จดีแล้วจึงค่อยเอาแม็กเย็บกระดาษออก
   - เตรียมพื้นผนัง ก่อนลงมือเขียนฝาผนังที่เป็นปูน ต้องประสะ (ชโลม) ผนังที่จะเขียนภาพหลาย ๆ ครั้ง โดยใช้น้ำใบขี้เหล็ก เมื่อผนังแห้งดีแล้ว ใช้ขมิ้นชันสดทดลองขีดบนผนังดู ถ้าเป็นสีแดงแสดงว่าผนังยังมีความเค็มต้องประสะอีก จากนั้นทดลองขีดดูถ้าเป็นสีเหลืองของขมิ้นแสดงว่าผนังนั้นหมดความเค็มแล้ว เตรียมการลงพื้นโดยใช้ดินสอพองผสมกับแป้งเปียกที่ทำจากเม็ดมะขาม (นำเม็ดมะขามไปคั่วจนเปลือกร่อนออกแล้วนำไปต้มจนเปื่อย เป็นแป้งเปียก) ทาลงบนฝาผนังให้ทั่วอย่าให้หนาเกินไปผึ่งไว้จนแห้งดีแล้ว ขัดด้วยกระดาษทรายละเอียดให้เรียบ ใช้สีขาว (สีฝุ่นขาว) ทาด้วยแปรงให้ทั่วอีกครั้งหนึ่ง
   - ลูบฝุ่นโรยแบบ นำแบบที่ปรุไว้เรียบร้อย ทาบลงบนฝาผนังที่ได้เตรียมพื้นไว้แล้วใช้ลูกประคบขาว-ดำ ลูบไปบนแบบปรุจนทั่ว เอาแบบปรุออก ฝาผนังจะปรากฎเป็นรอยประอันเกิดจากลูกประคบขาว-ดำ
  -  ระบายสี ให้เริ่มระบายสีที่เป็นแบล็กกราวด์ หรือองค์ประกอบของภาพเสียก่อน ไม่ว่าจะเป็นทิวทัศน์ โขดเขา ก้อนหิน พื้นดิน น้ำ ต้นไม้ ท้องฟ้า ตลอดจนอาคารบ้านเรือน วิมาน ฯลฯ หลังจากเสร็จแล้ว จึงค่อยระบายตัวภาพ โดยใช้สีฝุ่นสีต่าง ๆ

  -  ทายางมะเดื่อ ไม่ว่าจะเป็นส่วนใดของภาพก็ดี ถ้ามีที่ที่จะต้องปิดทองคำเปลวให้ใช้รงทองระบายในส่วนที่จะปิดทองเสียก่อน เพื่อให้สังเกตุได้ง่ายจะได้ไม่หลงลืมและทำให้พื้นที่บริเวณที่จะปิดทองเรียบเสมอกัน จากนั้นทาด้วยยางมะเดื่อโดยทาให้ทั่วในส่วนที่จะปิดทอง พอยางมะเดื่อที่ทาไว้หมาดก็ลงมือปิดทอง (ยางมะเดื่อเป็นยางที่ได้จากต้นมะเดื่ออุทุมพร ใบจะเล็กเรียวกว่า และไม่หยาบเหมือนมะเดื่อทั่วไป)
  -  ปิดทองคำเปลว เปิดกระดาษเปลือกทอง แล้วปิดคว่ำลงไปให้แผ่นทองปิดทับลงบนยางมะเดื่อ ระวังอย่าให้เปลือกทองที่เป็นกระดาษติดบนยาง จะทำให้ปิดทองไม่ติด พอปิดทองทั่วดีแล้วใช้นิ้วมือแตะแผ่นทอง ซ่อมในส่วนที่มีรอยให้เรียบร้อย แล้วกวดทองให้เรียบ โดยจะใช้นิ้วมือหรือสำลีคลึงให้เป็นก้อนกวดอีกที ทั้งนี้เพื่อเก็บเศษทองหรือเกสรของทองออกให้หมด

    พู่กัน
   - ตัดเส้น ใช้พู่กันขนาดเล็กตัดเส้นสีต่าง ๆ โดยทำการตัดเส้นไม่ว่าจะเป็นองค์ประกอบต่าง ๆ ของภาพหรือตัวภาพตลอดจนลวดลายต่าง ๆ รวมทั้งที่ที่ได้ปิดทองไว้โดยในส่วนที่ปิดทองให้ใช้สีแดงชาดทั้งหมดเน้นเส้นที่เป็นเค้าโครงที่สำคัญ ๆ ด้วยสีดำ

อุปกรณ์ที่ใช้ในการเขียนภาพจิตรกรรมไทย
    พู่กัน
    แปรง
    เปลือกต้นกระดังงาไทย
    รากลำเจียก
    ดินสองเหลือง (ทำจากดินเหลืองหรือดินกิน ลักษณะเป็นดินดานที่มีเนื้อละเอียดนุ่มแต่แข็งกว่าดินสอพอง)
    ลูกประคบดำและขาว
    น้ำกาวยางมะขวิด (ยางกระถิน ARABIC GUM)
    ยางมะเดื่อ
    เข็มปรุแบบ
    สำลีอย่างดี
    ทองคำเปลว 100 %
    ใบมีด (ใช้ขูดทอง)
    สีฝุ่น สีต่าง ๆ อัตราส่วน 3 ต่อ 1 ( สี 3 ส่วน ต่อ น้ำกาว 1 ส่วน)

ช่างแกะสลัก มะพร้าวทุย

ช่างแกะสลัก มะพร้าวทุยมะพร้าวทุยแกะสลัก  
ช่างแกะสลัก มะพร้าวทุย รัชช์ เศรษฐบุตร  
source: mcot.net
photo: thaitambon.com  

กลุ่มหัตถกรรมแกะสลักจากมะพร้าวทุย จังหวัด นนทบุรี มะพร้าวทุย คือ ผลมะพร้าวที่เจริญเติบโตตามปรกติจนเปลือกแห้ง รูปรี ๆ กะลาลีบ นํ้าหนักเบา เพราะไม่มีเนื้อและนํ้า นิยมตัดครึ่งนำมาทำแปรงถูพื้น.  
การแกะสลักมะพร้าวทุย อุปกรณ์ที่ใช้มีแต่คัทเตอร์ และขัดผิวให้เรียบด้วยกระดาาทราย และเคลือบผิวด้วยแลกเกอร์ชนิดด้าน บางชิ้นงานต้องใช้เวลาในการแกะสลักถึง 4 วัน

แกะสลักมะพร้าวทุย เป็นงานที่ละเอียดมาก ซึ่งลักษญะ มะพร้าวทุย คือมะพร้าวที่ไม่มีน้ำ ไม่มีเนื้อ และไม่ทิ้งขว้างให้สูญเปล่า โดยการนำมาแกะสลัก และสามารถเสริมสร้างคุณค่าให้กับสินค้าที่ไม่มีราคา ให้ดูมีคุณค่าต่อชิ้นกว่า 4000 บาท และมีคุณค่าต่อศิลป วัฒนธรรม  

114/283 หมู่ 10 ถนนตลิ่งชัน-สุพรรณ ตำบลบางรักพัฒนา อำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี 11110 ติดต่อ : นายรัชช์ เศรษฐบุตร โทร : 089 990 5700

Ear Plug: อุปกรณ์ป้องกันหู

นายแพทย์ตวงธรรม เอนกภูริธนัง
ในการทำงาน ห้องของ ช่างแกะสลักไม้ จะมีเครื่องมือไฟฟ้า สำหรับการทำงานในการแกะสลัก เช่น สว่านไฟฟ้า เล้าเตอร์ เครื่องเจียร บางครั้งก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงในสภาพที่มีเสียงดัง มากๆ จะมีผลกระทบอะไรกับหู และจะมีวิธีการป้องกันอย่างไร

การที่ได้ยินเสียงดังเป็นเวลานานๆ โดยเฉพาะเสียงเครื่องยนต์ เสียงเรือ จะทำให้มีการเสื่อมของประสาทหู แต่ว่าการเสื่อมของประสาทหูจะขึ้นอยู้กับความดัง และระยะเวลาของการได้ยินเสียง โดยทั่วไปแล้ว เราจะได้ยินเสียงไม่ควรเกิน 80 เดซิเบล หากได้ยินเสียงดัง 90 เดซิเบล คนเราจะสามารถทนได้ 8 ชั่วโมงต่อวัน หากเสียงดังเพิ่มขึ้นเป็น 100 เดซิเบล ซึ่งจะทนได้ประมาณ 15 นาที

เสียงความดังที่ไม่ควรอยู่ใกล้ คือ เสียงประมาณ เครื่องบินเจ็ท เสียงปะทัด คนที่ทำงานในที่ๆ มีเสียงดังมากๆ ก็ควรใช้เครื่องป้องกันหู (Ear protection) เมื่อต้องอยู่ในสภาพที่มีเสียงดังมากๆ และหากมีการสูญเสียการได้ยินเสียงชั่วคราว หมายความว่า เส้นประสาทหูถุกพลังงานของเสียงไปทำลายชั่วคราว แต่สามารถจะกลับฟื้นตัวได้ ถ้าเราพักผ่อนอย่างเพียงพอ ประสาทหูก็จะกลับคืนมาได้

Tackling Carving

Tackling Carving
No need for a ‘carving set’
by Robert L, Butler
Furniture makers have recently become aware of the role of sculpturing in fine woodworking. The sculptured furniture pioneered by Wharton Esherick and recently developed by Robert C. Whitley and others uses carving as a design essential to accent light and shadow, and to form such functional elements as handles and pulls. Some craftsmen have branched out into wood sculpture as art. They start with a background and feeling for wood that trained artists often lack. But for whatever reason, a craftsman who develops an interest in carving is faced with the problem 0f acquiring suitable tools.

Too frequently, thc craftsman new to wood sculpture buys a set of-carving tools that does not meet his needs. He should be guided by the principle he followed in equipping his shop: buy a rudimentary set and add to it as experience and knowledge increase. Since most suppliers of woodcarving tools carry at least 100 shapes and sizes, it is impossible to make specific recommendations without knowing the type, style and scale of carving he plans to do.

But without some guidance, the novice may not know where to begin. l.fcel that sculpture of moderatc size provides a realistic starring point for beginners, especially for craftsmen who intend to sculpture furniture. I have arrived at this opinion through some early false starts and later during five years of reaching woodcarving and sculpture in local adult education courses. Small, intricate carvings do not provide the experience in line, movement and form that can be transferred to sculptured furniture.


For moderate-sized sculpture, I recommend five basic tools, plus a hard Arkansas slip stone to sharpen them. They are
1. a straight gouge with a cross-section curvature of #9, #10. or #11 and 25 to 30 mm. wide
2. a smaller straight
gouge, #5, #6, or #7 and 20 to 25 mm. wide
3. a cylindrical Surform tool
4. a fine-cutting wood rasp
5. a mallet. The first four will total about $30 (1976 prices). The mallet can be turned from any heavy hardwood, such as maple or osage orange, or it could be cur from a branch and its handle roughed out on the band saw. The carver’s mallet is preferable to the carpenter’s mallet which is used to make mortises, because it carries more weight in the head and because its cylindrical form gives the hand only a glancing: blow when it misses the handle of the carving tool. There is much less damage to the knuckles.

Photos show what can be accomplished with four tools. Rough bosting cut was done with a #11 30-mm straight gouge (top) falloued by #5 25-mm straight gouge, which produced a smoother farm (and smaller chips) Cylindrical Suiforru goes even furthet, while a fine, half-round wotid rasp just about completes it (bottom) Area around the bfrd’s beak will be fraisbed with sandpaper of 80 garnet prior to the usual serie of sandings and finishing as desired. The photos show what these tools can do. I began with a #11 gouge for hosting out the rough form of an abstract bird, after hand-sawing a t<p and bottom view. This gouge makes deep cuts and removes excess wood rapidly. At this stage,the form has many valleys and humps. Next, I reduced the extremes of these humps and valleys with a gouge of flatter curvature, the #5. I then smoothed the piece with the Surform tool, which eliminated ridges and. valleys left by the gouges and enabled me to make slight changes in the overall form. Before sandpapering, I used a fine rasp lightly so as not to pull any of the wood fibers. Sculptures may be left unsanded, with the texture and finish of the gouge, or rasped and sanded with. garnet paper in the grit series 80, 120, 200 and polished with 400 or 500-weight wet-dry paper.

By now, it should be evident that sculpturing of moderate-sized pieces can be done well with this set of tools. I am sure that in my own carving, 95% of my time is spent with these five basic tools.

A craftsman who has mastered these tools may discover that he is more interested in smaller carvings. I-ic can then buy tools of smaller sizes and different curvatures, and various types of hand-held knives and rifflers. ‘With these, he can do small animal carvings, caricatures of cowboys and goidminess, or small religious items such as creches.

On the other hand, one may wish to carve much larger objecrs for the yard, foyer or a large room. Such carving is done with larger gouges and hand adres. These tools, along with the basic five~piccc set, can be used for carvings as large as totem poksor fufl~scale sculptures of human form. Some carvers are adept at-using the chain saw f~r oversize and bold pieces.

As in all tool buying and usage, the limit is set only by the person and the work he contemplates. Other available tools include bent gouges, fluters, veiners, short.bent gouges, back-bent gouges and parting tools. The beat gouge is used extensively in free-form bowl carving. Fluters are semicircular in cross section. Vcincrs have u~shaped cross sections and make deep,. continuous.cur lInes. Spoons, front or short-bent gouges—they go by various names—are used for “spooning” wood, making deep, abrupt incisions. The back-bent gouge is the reverse of the short-bent, with the sharpened surface on the opposite edge. It is used to carve intricate flowers, leaves, etc. Parting tools make a v-shaped cut of various depths and angles.

Musical instrument makers use other specialized tools. The macaroni, fluteroni and backeroni gouges are designed for carving violin, viola and cello necks, backs and bellies. Like all carving tools, thesc- may be short-bent, bent, etc. Some experienced woodcarvers even forge, grind and temper their own tools.

As in all craftsmanship, the- ultimate is never achieved. A serious craftsman conchases. to -improve his work and extend his horizons as h treats. Start with the simple set of tools and add to it as you find need and outgrow the limits of those  you have already purchased.
Wood carving tools set
Author’s basic carving set (right) includet wooden mallet, hard Arkansas slip stone, #11 30-mm gouge, #5 25-mm gouge, fine rasp and cyiredrical Surforns. For smaller, more intricate work (below), add gouges, knives, chip carving tools and rifflers. For bigger work (far below) , there are from bottom to top a #7 35-mm bent or long bent gouge, a #7 50-mm straight gouge, a #7 50-mm fishtail gouge, and an adze with two cutting faces—a gouge and a sm all ax. Carving tools other than straight gouges include (below right) along bent gouge for deep carving. afivus besti for deep incisive cutting, a back bent for carving leaves or petals, and a parting tool for deep angledendcontinuous cuts. Round lens cap thows relative size.

ข้อแนะนำจากช่างไม้แกะสลัก

Tips for Wood Carving Carpenter
ช่างแกะสลักหลายคน อาจจะมีคำถามว่าพวกเขาจะพัฒนางานอย่างไร ก็ไม่มีอะไรมาก จงเป็นตัวของตัวเอง

   - การแกะสลักงานไม้ภายใต้ความเป็นตัวของคุณเอง หาเอกลักษณ์ของตัวเองแล้วงานจะออกมาดี ช่างแกะสลักหลายคนทำงานเกินความสามารถของตนเอง บางครั้งทำให้ท้อและผลงานออกมาไม่ดีพอสมควร ถึงแม้จะมีรายได้จากผลงาน การทำในสิ่งที่ตนเองเข้าใจและสามารถใช้ความสามารถได้เต็มที่จะดีกว่า ผลงานจะสะท้อนอารมณ์ศิลปินของช่างแกะสลักออกมา ทำงานไปตามแนวทางของคุณเอง อย่างช้า ๆ และมีจุดมุ่งหมาย ถ้าคุณไม่ให้ใจกับงาน 100 เปอร์เซ็นต์ คุณก็จะเสียชิ้นไม้ และเวลาไป (กุ๊กที่โรงแรมก็ไม่ได้ทำอาหารอร่อยไปเสียทุกอย่าง ทุกคนก็มีแนวในการทำอาหารที่คิดว่าตัวเองทำได้ดีที่สุด นั่นก็คือจุดขาย คือการสร้างเอกลักษณืให้แก่ตนเอง)
  -  ใช้ประโยชน์ให้คุ้มค่ากับหนังสือที่คุณหาซื้อ มา เวลาที่คุณซื้อหนังสืองานแกะสลักไม้มาอ่านเพื่อพัฒนาตัวเอง และหารูปแบบใหม่รวมทั้งทิป และข้อมูลจากผู้เขียนหนังสือ ซึ่งก็คือครู อาจารย์ที่ทำงานด้านแกะสลักมานานและถ่ยทอดความรู้ และประสบการณ์ลงไปเป็นตัวหนังสือ ก็ควรที่จะอ่านและทำความเข้าใจให้ละเอียด รวมทั้ศึกษารูปภาพ และลองปฎิบัติตาม
  -  ใช้เวลาของคุณให้มีค่า และลืมเครื่องจักรที่จะอำนวยความสะดวกให้งานคุณเสร็จเร็วขึ้น อย่าลืมว่างานที่คุณกำลังทำอยู่เป็นงานเฉพาะ วัตถุที่มีเอกลักษณ์ศิลป์ (You have to get it right, and to get it right you have to take your time.)
  -  เลือกชิ้นไม้ที่ดีที่สุด ทุกครั้งที่มีโอกาสเลือก ปราศจากตาไม้ และรอยแผลในเนื้อไม้ ซึ่งการจะแกะสลักไม้ให้สวยงาม ก็จะไม่ยากเกินไป และความสวยงามของไม้ ก็ขึ้นอยู่กับคุณผู้รังสรรค์ในเวลานั้น
  -  การลับคมมีด ผลงานจะออกมาดี มีดแกะสลักต้องคม ดั่งมีดปอกผลไม้ ไม่ว่าจะใช้เครื่องลับคมแบบสายพาน หรือการลับคมโดยใช้ oilstone

photo: www.earthhealing.info

How to Begin Woodcarving

How to Begin Woodcarving With a Utility Knife
source: www.wikihow.com
Simple Flower Pattern

1. Choose your pattern. The first part of any woodcarving project is deciding what to carve. There are many places you can find good pattern books, such as hobby shops and the internet, or you can draw your own

2. Choose your wood. There are a lot of different types of wood providing a wide variety of color and grain textures. Some basic woods can be found at your local hardware store, while more exotic woods can be found at hobby shops, specialty wood stores and on the internet. Some woods are better suited for some projects than others. For your first carving, it is best to use a soft wood like pine, bass or soft maple (available at most hardware stores). If you can easily mark the wood with your fingernail, it is probably soft.
Trace the pattern onto wood
3. Trace your pattern. Using a stylus and a piece of carbon paper, which can be found at an office/stationery supply store, trace the pattern you have selected. Try not to move the pattern until it is completely traced, or it may get a little disjointed. It is often helpful to tape the pattern to the wood with small pieces of masking tape.
How to make a stop cut
4. Make a stop cut. Take your utility blade and cut around the outline of the pattern. This prevents unwanted chipping and helps your outlines to look clean.
Left - Cutting the background with blade at shallow angle. Right - Finished background
5. Cut the background. With your blade at a shallow angle, cut the wood around the outline of the pattern. In this case, it would be the petals, stem and leaves.
Cutting the next level of outlines
6. Cut the next level of outlines. Repeat steps 4 and 5 for each level of detail. In this case, it would be the flower petals. Continue doing this until all of the lines are cut. Be careful to pay attention to which side of each line you want to cut; you want to cut the side that will appear farther away.
Round sharp edges with utility knife
7. Add detail. Now that the basic outlines are cut, add detail that creates the illusion of depth and texture. For our pattern, this detail includes:

Rounding edges: Lightly cut the corners off the sharp outlines to provide a smooth transition.
Cutting a thumbprint cut with blade at shallow angle, pivoting around tip

Thumbprint type cut in the petals: To add dimension to the otherwise flat petals, cut circular gouges in each one, holding the utility blade at a very shallow angle and pivoting it about the tip. Don’t worry if it looks a little sloppy, as this will be smoothed out later.

Adding levels to the leaves: Cut the portion that is farther back – this gives the illusion of a portion of the leaf folding over itself.
Add veins to the leaves with a stop cut and steep angled cut
Adding veins to the leaves: This requires two cuts per vein, a stop cut and then another cut at a steep angle to create a long thin gouge in the wood.
Sanding creates a smooth uniform surface
8. Sand your piece. Once details are cut, they can be smoothed and cleaned up by using bits of fine grit sand paper to smooth the cut marks so the carving has a uniform surface.
Staining can add dimension and texture
9. Add stain and finish. Adding stain to your piece can add depth and texture, bringing out nuances in the carving that would not be as visible without the stain. Protect the wood from the elements with a varnish or sealer. The extra gloss can also give it a more professional look.

Tips
    - You can download the picture in Step 1 and resize it on your computer so you can easily print it out. You can view a larger version of all the pictures by double clicking on them.
    - Change blades frequently. If carving starts getting harder or your cuts aren’t coming out clean, it is probably because your blade is not sharp. This is the beauty of using a utility blade. With other woodcarving tools you would have to sharpen your blade, but with this you can just swap it out for a new one.
    - Keep a vacuum or small dustpan and broom on hand to keep your work area free of chips and other debris.
    - Be patient, as this is not something that can be done in ten minutes. If something doesn’t look right, just keep working at it as it will probably come out fine.

Warnings

    - Keep your hand out of the way. These are sharp blades; if they can cut wood, they can cut you. Always ask yourself: “What if the blade slips?” Try to keep the hand you use to hold the work piece behind the blade and cut away from yourself so that if you slip, you won’t cut your hand.
    - The other excellent reason to use only a sharp blade is that dull ones require more force to cut. This isn’t a problem in terms of the quality of your work, but of safety: the more pressure you’re exerting, the less control you have if the blade slips. You don’t want to be out of control of something that’s not *quite* razor-sharp but still adequately sharp enough to cut a nice chunk out of you.
    - Wear eye protection. Though it might not seem like woodcarving is an eye hazard, there is a possibility that a blade might break and send a shard into your eye.
    - When applying stain, remain in a well ventilated area. Those fumes are not good for your brain or lungs.

Things You’ll Need

    - Utility knife
    - Extra utility blades
    - Pattern
    - Wood (preferably soft)
    - Fine grain sand paper (no less than 120 grit)
    - Stain and finish (optional)
    - Carbon paper
    - Safety glasses
    - Work Gloves (optional)