แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Thai Art and Culture แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Thai Art and Culture แสดงบทความทั้งหมด

งานจิตรกรรมไทยบนฝาผนัง

สถาบันศิลปกร กรมศิลปากร
ส่วนช่างสิบหมู่

    - ออกแบบและเขียนแบบ เรื่องราวที่นิยมนำมาเขียนบนฝาผนัง จะเป็นฝาผนังของโบสถ์ วิหาร พระระเบียง วิหารคด พระที่นั่ง หอพระ หอไตรหรือหลังบานประตูหน้าต่าง ล้วนแล้วแต่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับศาสนาพุทธเป็นหลัก เป็นต้นว่า ทศชาติ นอกจากนี้ก็มีรามเกียรติ์เป็นสำคัญ เรื่องราวต่าง ๆ เหล่านี้ได้แฝงไว้ซึ่งขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมของไทยในยุคที่มีการเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนัง โดยออกแบบและเขียนแบบในลักษณะที่เราเรียกว่าการมองภาพแบบตานกบิน ในการร่างแบบ ควรร่างบนกระดาษร่าง หรือกระดาษบรู๊ฟเสียก่อน
   - ทำแบบปรุ นำแบบที่ได้ร่างไว้และปรับลายจนเรียบร้อยดีแล้ว มาทำแบบปรุโดยใช้กระดาษไข เบอร์
    70-75 แกรม วางทับลงไปบนแบบที่ได้ร่างไว้แล้ววางซ้อนใต้แบบอีก 2-3 แผ่น ลงมือปรุแบบ โดยใช้เข็มปรุแบบจนแล้วเสร็จ ตรวจดูความเรียบร้อย ไม่หลงลืม โดยเช็คดูจากแผ่นกระดาษไขบนแบบร่าง ในการยึดแบบร่างกับกระดาษไข เพื่อกันไม่ให้เคลื่อนขณะปรุแบบใช้แม็กเย็บกระดาษเย็บโดยรอบแบบ เสร็จดีแล้วจึงค่อยเอาแม็กเย็บกระดาษออก
   - เตรียมพื้นผนัง ก่อนลงมือเขียนฝาผนังที่เป็นปูน ต้องประสะ (ชโลม) ผนังที่จะเขียนภาพหลาย ๆ ครั้ง โดยใช้น้ำใบขี้เหล็ก เมื่อผนังแห้งดีแล้ว ใช้ขมิ้นชันสดทดลองขีดบนผนังดู ถ้าเป็นสีแดงแสดงว่าผนังยังมีความเค็มต้องประสะอีก จากนั้นทดลองขีดดูถ้าเป็นสีเหลืองของขมิ้นแสดงว่าผนังนั้นหมดความเค็มแล้ว เตรียมการลงพื้นโดยใช้ดินสอพองผสมกับแป้งเปียกที่ทำจากเม็ดมะขาม (นำเม็ดมะขามไปคั่วจนเปลือกร่อนออกแล้วนำไปต้มจนเปื่อย เป็นแป้งเปียก) ทาลงบนฝาผนังให้ทั่วอย่าให้หนาเกินไปผึ่งไว้จนแห้งดีแล้ว ขัดด้วยกระดาษทรายละเอียดให้เรียบ ใช้สีขาว (สีฝุ่นขาว) ทาด้วยแปรงให้ทั่วอีกครั้งหนึ่ง
   - ลูบฝุ่นโรยแบบ นำแบบที่ปรุไว้เรียบร้อย ทาบลงบนฝาผนังที่ได้เตรียมพื้นไว้แล้วใช้ลูกประคบขาว-ดำ ลูบไปบนแบบปรุจนทั่ว เอาแบบปรุออก ฝาผนังจะปรากฎเป็นรอยประอันเกิดจากลูกประคบขาว-ดำ
  -  ระบายสี ให้เริ่มระบายสีที่เป็นแบล็กกราวด์ หรือองค์ประกอบของภาพเสียก่อน ไม่ว่าจะเป็นทิวทัศน์ โขดเขา ก้อนหิน พื้นดิน น้ำ ต้นไม้ ท้องฟ้า ตลอดจนอาคารบ้านเรือน วิมาน ฯลฯ หลังจากเสร็จแล้ว จึงค่อยระบายตัวภาพ โดยใช้สีฝุ่นสีต่าง ๆ

  -  ทายางมะเดื่อ ไม่ว่าจะเป็นส่วนใดของภาพก็ดี ถ้ามีที่ที่จะต้องปิดทองคำเปลวให้ใช้รงทองระบายในส่วนที่จะปิดทองเสียก่อน เพื่อให้สังเกตุได้ง่ายจะได้ไม่หลงลืมและทำให้พื้นที่บริเวณที่จะปิดทองเรียบเสมอกัน จากนั้นทาด้วยยางมะเดื่อโดยทาให้ทั่วในส่วนที่จะปิดทอง พอยางมะเดื่อที่ทาไว้หมาดก็ลงมือปิดทอง (ยางมะเดื่อเป็นยางที่ได้จากต้นมะเดื่ออุทุมพร ใบจะเล็กเรียวกว่า และไม่หยาบเหมือนมะเดื่อทั่วไป)
  -  ปิดทองคำเปลว เปิดกระดาษเปลือกทอง แล้วปิดคว่ำลงไปให้แผ่นทองปิดทับลงบนยางมะเดื่อ ระวังอย่าให้เปลือกทองที่เป็นกระดาษติดบนยาง จะทำให้ปิดทองไม่ติด พอปิดทองทั่วดีแล้วใช้นิ้วมือแตะแผ่นทอง ซ่อมในส่วนที่มีรอยให้เรียบร้อย แล้วกวดทองให้เรียบ โดยจะใช้นิ้วมือหรือสำลีคลึงให้เป็นก้อนกวดอีกที ทั้งนี้เพื่อเก็บเศษทองหรือเกสรของทองออกให้หมด

    พู่กัน
   - ตัดเส้น ใช้พู่กันขนาดเล็กตัดเส้นสีต่าง ๆ โดยทำการตัดเส้นไม่ว่าจะเป็นองค์ประกอบต่าง ๆ ของภาพหรือตัวภาพตลอดจนลวดลายต่าง ๆ รวมทั้งที่ที่ได้ปิดทองไว้โดยในส่วนที่ปิดทองให้ใช้สีแดงชาดทั้งหมดเน้นเส้นที่เป็นเค้าโครงที่สำคัญ ๆ ด้วยสีดำ

อุปกรณ์ที่ใช้ในการเขียนภาพจิตรกรรมไทย
    พู่กัน
    แปรง
    เปลือกต้นกระดังงาไทย
    รากลำเจียก
    ดินสองเหลือง (ทำจากดินเหลืองหรือดินกิน ลักษณะเป็นดินดานที่มีเนื้อละเอียดนุ่มแต่แข็งกว่าดินสอพอง)
    ลูกประคบดำและขาว
    น้ำกาวยางมะขวิด (ยางกระถิน ARABIC GUM)
    ยางมะเดื่อ
    เข็มปรุแบบ
    สำลีอย่างดี
    ทองคำเปลว 100 %
    ใบมีด (ใช้ขูดทอง)
    สีฝุ่น สีต่าง ๆ อัตราส่วน 3 ต่อ 1 ( สี 3 ส่วน ต่อ น้ำกาว 1 ส่วน)

ช่างสิบหมู่

ข้อมูลจาก การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย, สถาบันศิลปกรรม กรมศิลปากร

กรมช่างสิบหมู่ หรือเรียกสั้นๆว่า ช่างสิบหมู่ เป็นส่วนราชการที่มีหน้าที่ และภาระโดยตรงในการสร้างสรรค์งานศิลปกรรมประเภทต่างๆ อาทิ ประเภทวิจิตรศิลป มัณฑนศิลป ประณีตศิลป เป็นต้น เพื่อบริการแก่ราชการในส่วนพระองค์สมเด็จพระมหากษัตริย์ เช่น การสร้างเครื่องราชูปโภค พระราชพาหนะ พระราชมณเฑียรสถาน สำหรับสมเด็จพระมหากษัตริย์ และพระราชวงศ์ รวมทั้งปูชนียสถาน ปูชนียวัตถุ ศาสนสถาน และสังฆภัณฑ์ โดยที่งานช่างสิบหมู่เป็นมรดกทางศิลปวัฒนธรรมของชาติ

“ช่างสิบหมู่” ตามพจนานุกรมศัพท์ศิลปกรรม ฉบับราชบัณฑิตย สถาน อธิบายคำนี้ว่า คือชื่อช่างหลวง ซึ่ง สมเด็จพระบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัติวงศ์ ทรงมีลายพระหัตถ์ประทาน พระยาอนุมานราชธน ลงวันที่ 31 ส.ค. 2479 ในหนังสือบันทึกเรื่องราวความรู้ต่าง ๆ ว่า...ช่างสิบหมู่เป็นแต่ชื่อกรมที่รวบรวมช่างได้มี 10 หมู่ด้วยกัน ไม่ใช่ช่างในบ้านเมืองมีแต่สิบอย่างเท่านั้น แต่ที่เรียกว่าช่างสิบหมู่ก็เพื่อต้องการรวบรวมช่างที่เป็นส่วน สำคัญไว้ก่อนเพียง 10 หมู่ แล้วภายหลังคิดเพิ่มเติมหรือแยกแขนงออกไปอีกตามลักษณะของงาน

หากดูตามบัญชีช่างที่ขึ้นทำเนียบเป็นช่างหลวง มีดังนี้...ช่างเลื่อย ช่างก่อ ช่างดอกไม้เพลิง ช่างไม้สำเภา ช่างปืน ช่างสนะจีน ช่างสนะไทย ช่างขุนพราหมณ์เทศ ช่างรัก ช่างมุก ช่างปากไม้ ช่างเรือ ช่างทำรุ ช่างเขียน ช่างแกะ ช่างสลัก ช่างกลึง ช่างหล่อ ช่างปั้น ช่างหุ่น ช่างบุ ช่างปูน ช่างหุงกระจก ช่างประดับกระจก ช่างหยก ช่างชาดสีมุก ช่างต่อกำปั่น และช่างทอง

และในบันทึก พระองค์เจ้าประดิษฐ์วรการ ผู้ควบคุมช่างสิบหมู่ใน สมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงจำแนกไว้ดังนี้...1.หมู่ช่างเขียน ประกอบด้วย ช่างเขียน ช่างปิดทอง 2.หมู่ช่างแกะ มีทั้งช่างแกะตรา ช่างแกะลาย ช่างแกะพระหรือภาพ 3.หมู่ช่างหุ่น มีช่างไม้ ช่างไม้สูง ช่างเลื่อย ช่างปากไม้ 4.หมู่ช่างปั้น มีช่างขี้ผึ้ง ช่างปั้น ช่างขึ้นรูป 5.หมู่ช่างปูน มีช่างปั้น ช่างปูนก่อ ช่างปูนลาย ช่างปั้นปูน 6.หมู่ช่างรัก มีช่างลงรัก ช่างปิดทอง ช่างประดับกระจก ช่างมุก 7.หมู่ช่างบุ เป็นช่างเดี่ยว 8.หมู่ช่างกลึง มีช่างไม้ 9.หมู่ช่างสลัก มีช่างฉลุ ช่างกระดาษ ช่างหยวก ช่างเครื่องสด 10.หมู่ช่างหล่อ มีช่างหุ่นดิน ช่างขี้ผึ้ง ช่างผสมโลหะ

ขณะที่เมื่อนำข้อมูลข้างต้นมาเทียบกับข้อมูลในหนังสือช่างสิบหมู่ ซึ่งจัดพิมพ์เมื่อปี 2540 โดยการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย ได้ลำดับงานของช่างสิบหมู่เดิมที่มีมาแต่ในอดีตว่า...งานของช่างสิบหมู่ที่ปรากฏชัดเจนนั้นคือ...1.ช่างเขียน 2.ช่างปั้น 3.ช่างแกะ 4.ช่างสลัก 5.ช่างหล่อ 6.ช่างกลึง 7.ช่างหุ่น 8.ช่างรัก (ลงรักปิดทอง) 9.ช่างบุ 10.ช่างปูน ก็ใกล้เคียงกับข้อมูลดังที่ปรากฏเดิม

ที่สำคัญ ในหนังสือเล่มดังกล่าวยังอธิบายที่มาที่ไปของคำว่า “ช่างสิบหมู่” ที่ศึกษารวบรวมจากเอกสารต่าง ๆ ไว้อย่างน่าสนใจ กล่าวคือ...ในส่วนราชการแต่ละส่วนที่เรียกว่า “กรม” แต่ละสมัยนั้น มีส่วนราชการหนึ่งชื่อว่า “กรมช่างสิบหมู่” รวมอยู่ด้วย ส่วนราชการนี้เป็นที่ทราบกันโดยประเพณีสืบๆ กันมาว่า “เป็นส่วนที่รวบรวมบรรดาบุคคลที่มีความรู้ ความสามารถ และฝีมือช่างศิลปะประเภทต่าง ๆ ที่มีอยู่ในบ้านเมือง” เข้ามารับสนองราชการ ประจำ จึงได้รับการขนานนามมาแต่เดิมว่ากรมช่างสิบหมู่

และแม้จะไม่มีหลักฐานยืนยันความเป็นมา ไม่ปรากฏว่าได้รับการบันทึกเป็นเอกสาร แต่ก็มักจะมีอยู่ในเรื่องแทรกในพระราชพงศาวดารต่างๆ มาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา และมีบันทึกปรากฏชัดเจนในสมัยรัตนโกสินทร์

ช่างสิบหมู่มีหน้าที่โดยตรงในการสร้างสรรค์งานศิลปกรรมต่างๆ ทั้ง ประณีตศิลป วิจิตรศิลป มัณฑนศิลป แก่ราชการในส่วนพระองค์ อาทิ เครื่องราชูปโภค พระราชพาหนะ พระราชมณเฑียรสถาน เป็นต้น

นอกจากนี้ กับต้นกำเนิดของคำว่า “ช่างสิบหมู่” ในหนังสือเรื่องพระประวัติ พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าปฤษฎางค์ กล่าวถึงคำนี้ไว้ว่า...เป็นคำที่เลื่อนมาแต่คำว่า “ช่างสิปป” เป็นภาษาบาลีมีความหมายนัยเดียวกับคำว่าศิลปะ และในภาษาสันสกฤตหมายถึงฝีมือทางการช่าง แต่คนไทยพูดประหยัด คำกันมาก หรือไม่ก็ออกเสียงไม่คล่องลิ้น คำว่าสิปปก็หดสั้นลงเป็นสิป ช่าง สิปปก็หดสั้นเป็นช่างสิป นานเข้าก็ค่อย ๆ ห่างไกลความเข้าใจและเปลี่ยนรูปกลายเป็น “จำนวนนับ 10” และภายหลังก็มีการเติมคำว่า “หมู่” ต่อท้าย ก็เลยกลายเป็นคำว่า “ช่างสิบหมู่”

ในแวดวงศิลปะถือว่าช่างสิบหมู่เป็นสถาบันทางการช่างศิลปกรรม แบบไทยประเพณีสถาบันหนึ่ง บุคคลที่มีความสามารถและฝีมือเป็นช่างในสถาบันนี้ จัดเป็นช่างหลวง และเป็นข้าราชการในราชการของราชสำนักในสมัยที่ไทยยังปกครองด้วยระบบราชาธิปไตย

ยุคปัจจุบัน หน่วยงานสำคัญหน่วยงานนี้ได้เปลี่ยนแปลงเป็นส่วนราชการในรูปของ “สำนักช่างสิบหมู่” สังกัดกรมศิลปากร โดยมีภารกิจหลักที่สำคัญทางด้านศิลปกรรมไทย มีหน่วยงาน 5 กลุ่มและฝ่าย ดังนี้...กลุ่มประณีตศิลป์และการช่างไทย (กปช.), กลุ่มจิตรกรรมศิลปะประยุกต์และลายรดน้ำ (กจศ.), กลุ่มประติมากรรมและช่างปูนปั้น (กปป.), กลุ่มวิชาการด้านช่างศิลปะไทย (กวศ.) และฝ่ายบริหารงานทั่วไป (ฝบห.)

กลุ่มช่างสิบหมู่ในปัจจุบัน ปฏิบัติภาระกิจในสายงานช่างประณีตศิลปกรรมด้านช่างสิบหมู่ของไทยโบราณ ถึงจะได้รับการถ่ายทอดความรู้ความสามารถด้านช่างจากช่างในยุคกรมช่างสิบหมู่เดิมได้น้อยมาก ( ยังคงมีช่างที่เป็นลูกศิตย์ของครูช่างโบราณที่ถ่ายทอดให้รุ่นน้องเหลืออยู่บ้างในช่วง ยี่สิบปีที่ผ่านมา ได้แก่ลูกศิตย์ของ ศาสตราจารย์ พระพรหมณ์พิจิตร อจ.พระเทวาพินิมมิตร และ อจ.หลวงพิศาลศิลปกรรม เป็นต้น ) แต่งานช่างสิบหมู่ปัจจุบันก็ไม่สามารถครอบคลุมงานช่างได้ทุกสาขาที่มีมาแต่โบราณได้ และการจัดหมวดหมู่ก็เป็นไปตามความเหมาะสมกับสภาวะเศรษฐกิจ การเมือง การปกครองของชาติ ซึ่งผู้บริหารในแต่ละยุคจะเห็นสมควร
สำหรับช่างสิบหมู่ในปัจจุบัน มีสถานะภาพเป็น กลุ่มงานช่างสิบหมู่ ในสังกัดสำนักสถาปัตยกรรมและหัตถศิลป์ กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม (พ.ศ.๒๕๔๕) กลุ่มช่างสิบหมู่มีภาระกิจดังต่อไปนี้
๑.ปฏิบัติงานด้านสร้างสรรค์งานประณีตศิลปกรรมด้านช่างสิบหมู่เพื่ออนุรักษ์และพัฒนาศิลปกรรมด้านนี้
๒. ปฏิบัติงานซ่อมอนุรักษ์ศิลปวัตถุที่ต้องใช้กระบวนการช่างลักษณะช่างสิบหมู่ เพื่ออนุรักษ์ศิลปกรรมอันมีค่าของชาติให้คงอยู่สืบไป
๓. ค้นคว้า วิเคราะห์ วิจัย รวบรวม จัดทำเอกสารทางวิชาการหรือสื่อทางเทคโนโลยีสารสนเทศเกี่ยวกับศิลปกรรมด้านช่างสิบหมู่เพื่อเผยแพร่และสืบทอดศิลปกรรมด้านนี้
๔. ออกแบบ - เขียนแบบด้านประณีตศิลปกรรมด้านช่างสิบหมู่เพื่อปฏิบัติการด้านช่างสิบหมู่ในลักษณะต่าง ๆ และเมื่อมีหน่วยงานภายนอกขอมาโดยความเห็นชอบของผู้บังคับบัญชา
๕. จัดสาธิตและบรรยาย อธิบาย ช่วยสอนพิเศษรายวิชา ด้านประณีตศิลปกรรมด้านช่างสิบหมู่เพื่อเผยแพร่และสืบทอดศิลปกรรมด้านนี้

กลุ่มช่างสิบหมู่ในปัจจุบันประกอบด้วยกลุ่มงานช่างในสังกัด ๕ กลุ่มงาน และ ศูนย์ศิลปะและการช่างไทย หนึ่งศูนย์ (พ.ศ. ๒๕๔๖) ดังรายละเอียดต่อไปนี้
๑. กลุ่มงานช่างเขียนและช่างลายรดน้ำ
ปฏิบัติงานด้านช่างเขียนลาย – เขียนแบบสำหรับงานช่างสิบหมู่สาขาต่าง ๆ , งานเขียนน้ำกาว และด้านช่างลายรดน้ำ
๒. กลุ่มงานช่างแกะสลักและช่างไม้ประณีต
ปฏิบัติด้านการขึ้นหุ่นโครงสร้างด้วยไม้ประเภทต่าง ๆ (ช่างไม้สูง) และด้านช่างแกะสลักไม้และวัตถุอื่น ๆ
๓. กลุ่มงานช่างประดับกระจกและช่างปิดทอง
ปฏิบัติงานด้านช่างประดับกระจกและลงรักปิดทอง และงานผ้าลายทองแผ่ลวด
๔. กลุ่มงานช่างโลหะและช่างศิราภรณ์
ปฏิบัติงานด้านงานช่างโลหะประณีต – โลหะประดิษฐ์ และงานสร้างหัวโขน
๕ กลุ่มงานช่างปั้นหุ่นช่างปั้นลายและช่างมุก
ปฏิบัติงานด้านช่างปั้นปูนสด และ ด้านงานช่างประดับมุก
๖. ศูนย์ศิลปะและการช่างไทย

จิตรกรรมไทย

วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

จิตรกรรมไทย (Thai Painting) หมายถึง ภาพเขียนที่มีลักษณะเป็นแบบอย่างของไทย ที่แตกต่าง จากศิลปะของชนชาติอื่นอย่างชัดเจน ถึงแม้จะมีอิทธิพลศิลปะของชาติอื่นอยู่บ้าง แต่ก็สามารถ ดัดแปลง คลี่คลาย ตัดทอน หรือเพิ่มเติมจนเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของ ตนเองได้อย่างสวยงาม ลงตัว น่าภาคภูมิใจและมีวิวัฒนาการทางด้านด้านรูปแบบ และวิธีการมาตลอดจนถึงปัจจุบัน ซึ่งสามารถพัฒนาต่อไปอีกในอนาคต

ลายไทย เป็นส่วนประกอบของภาพเขียนไทยใช้ตกแต่งอาคาร สิ่งของ เครื่องใช้ ต่าง ๆ เครื่องประดับ ฯลฯ เป็นลวดลายที่มีชื่อเรียกต่าง ๆ กันซึ่งนำเอารูปร่างจาก ธรรมชาติมาประกอบ เช่น ลายกระหนก ลายกระจัง ลายประจำยาม ลายเครือเถา เป็นต้น หรือเป็นรูปที่มาจากความเชื่อและคตินิยม เช่น รูปคน รูปเทวดา รูปสัตว์ รูปยักษ์ เป็นต้น

จิตรกรรมไทย เป็นวิจิตรศิลป์อย่าง หนึ่ง ซึ่งส่งผลสะท้อนให้เห็นวัฒนธรรมอันดี งามของชาติ มีคุณค่าทางศิลปะและเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาค้นคว้า เรื่องที่เกี่ยวกับ ศาสนา ประวัติศาสตร์ โบราณคดี ชีวิตความเป็นอยู่ วัฒนธรรมการแต่งกาย ตลอดจนการแสดงการเล่มพื้นเมืองต่าง ๆ ของแต่ละยุคสมัยและสาระอื่น ๆ ที่ประกอบกันเป็นภาพจิตรกรรมไทย งานจิตรกรรมให้ความรู้สึกในความงามอันบริสุทธิ์น่าชื่นชม เสริมสร้างสุนทรียภาพขึ้นในจิตใจมวลมนุษยชาติได้โดยทั่วไป วิวัฒนาการของงาน จิตรกรรมไทยแบ่งออกตามลักษณะรูปแบบทางศิลปกรรม ที่ปรากฏในปัจจุบันมีอยู่ 2 แบบ คือ

จิตรกรรมไทยแบบประเพณี
จิตรกรรมไทยแบบประเพณี (Thai Traditional Painting)เป็นศิลปะที่มีความประณีตสวยงาม แสดงความรู้สึกชีวิติจิตใจและความเป็นไทย ที่มีความอ่อนโยน ละมุนละไม สร้างสรรค์สืบต่อกันมาตั้งแต่อดีตจนได้ลักษณะประจำชาติ มีลักษณะประจำชาติที่มีลักษณะ และรูปแบบเป็นพิเศษ นิยมเขียนบนฝาผนังภายในอาคารที่เกี่ยวกับพุทธศาสนาและอาคารที่เกี่ยวกับบุคคลชั้นสูง เช่น โบสถ์ วิหาร พระที่นั่ง วัง บนผืนผ้า บนกระดาษ และบนสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ โดยเขียนด้วยสีฝุ่น ตามกรรมวิธีของช่างเขียนไทยแต่โบราณ เนื้อหาที่เขียนมักเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอดีตพุทธ พุทธประวัติ ทศชาติชาดก ไตรภูมิ วรรณคดีและชีวิตไทย พงศาวดารต่าง ๆ ส่วนใหญ่นิยมเขียนประดับฝนังพระอุโบสถ วิหารอันเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ประกอบพิธีทางศาสนา ลักษณะจิตรกรรมไทยแบบประเพณีเป็นศิลปะ แบบอุดมคติ (Idealistic)ผนวกเข้ากับเรื่องราวที่กึ่งลึกลับมหัศจรรย์ ซึ่งคล้ายกับงาน จิตรกรรมในประเทศแถบตะวันออกหลาย ๆ ประเทศ เช่น อินเดีย ศรีลังกา จีนและญี่ปุ่น เป็นต้น เป็นภาพที่ระบายสีแบนเรียบ ด้วยสีค่อนข้างสดใส และมีการตัดเส้นเป็นภาพ 2 มิติ ให้ความรู้สึกเพียงด้านกว้างและยาว ไม่มีความลึก ไม่มีการใช้แสงและเงามาประกอบ จิตรกรรมไทยแบบประเพณีมีลักษณะพิเศษในการจัดวางภาพแบบเล่าเรื่องเป็นตอน ๆ ตามผนังช่องหน้าต่าง โดยรอบโบสถ์ วิหาร และผนังด้าน หน้าและหลังพระประธาน ภาพจิตรกรรมไทยมีการใช้สีแตกต่างกันออกไปตามยุคสมัย ทั้งเอกรงค์ และหหุรงค์ โดยเฉพาะการใช้สีหลายๆ สีแบบพหุรงค์นิยมมากในสมัยรัตนโกสินทร์ เพราะได้สีจากต่างประเทศที่เข้ามาติดต่อค้าขายด้วย ทำให้ภาพจิตรกรรมไทยมีความสวยงามและสีสันที่หลากหลายมากขึ้น

จิตรกรรมไทยแบบร่วมสมัย
จิตรกรรมไทยแบบร่วมสมัย (Thai Contempolary Painting)จิตรกรรมไทยร่วมสมัยเป็นผลมาจากความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาการของ โลก ความเจริญทางการศึกษา การคมนาคม การพาณิชย์ การปกครอง การรับรู้ข่าวสาร ความเป็นไปของโลกที่อยู่ห่างไกล ฯลฯ เหล่านี้ ล้วนมีผลต่อความรู้สึกนึกคิดและแนวทางการแสดงออกของศิลปินในยุคต่อๆ มาซึ่งได้พัฒนาไปตามสภาพเวดล้อม ความเปลี่ยนแปลงของชีวิต ความเป็นอยู่ ความรู้สึกนึกคิด และความนิยมในสังคม สะท้อนให้เห็นถึงเอกลักษณ์ใหม่ของวัฒนธรรมไทยอีกรูปแบบหนึ่ง อย่างมีคุณค่า เช่นดียวกัน อนึ่ง สำหรับลักษณะเกี่ยวกับจิตรกรรมไทยร่วมสมัยนั้น ส่วนใหญ่เป็นแนวทางเดียวกันกับลักษณะศิลปะแบบตะวันตกในลัทธิต่างๆ ตามความนิยมของศิลปินแต่ะละคน

ศิลปาชีพ ศิลป์แผ่นดิน - Arts of the kingdom

Arts of the kingdom
ARTS OF THE KINGDOM นิทรรศการแสดงผลงานของกรมศูนย์ฝึกศิลปาชีพ สวนจิตรดา ผลงานสำคัญนับ 100 ชิ้นที่สร้างขึ้นอย่างปราณีต รอคอยที่จะอวดสายตาทุกคู่ให้ชื่นชม ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม

ผู้ชมทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศต่างชื่นชมงานที่นำมาจัดแสดง ล้วนมีคุณค่า โดยเฉพาะสุดยอดผลงานชิ้นเอก 10 ชิ้นที่เป็นจุดเด่น อาทิ บุษบกห้ายอดไม้แกะสลัก พระที่นั่งพุดตานถมทอง พระที่นั่งพุดตานคร่ำทอง วอสีวิกากาญจน์ เรือศรีสุพรรณหงส์ ฉากผ้าปักป่าหิมพานต์ ฉากไม้แกะสลักตำนานนพรัตน์ ภาพเขียนสุเรนทรจรจักรวาฬ โคมระย้าแต่งปีกแมลงทับ และแผ่นลิเภาสานลายผ้าโบราณ จีงได้มีกระแสเรียกร้องให้ขยายผลการจัดงานต่อไปอีก เพื่อให้ประชาชนได้เข้าชมโดยทั่วถึงกัน

ความมีคุณค่าทางด้านประวัติศาสตร์ของพระที่นั่งอนันตสมาคม และความวิจิตรของงานศิลปาชีพที่จัดแสดง ทำให้ พิพิธภัณฑ์ศิลป์แผ่นดิน ครั้งที่ 5 เป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ที่น่าสนใจ นอกจากจะได้ชมสถาปัตยกรรมตะวันตกแบบเรเนอซองส์ที่ทรงคุณค่าในทางประวัติ ศาสตร์ในสมัยรัชกาลที่ 5 และชื่นชมกับภาพเขียนเฟรสโกที่ตกแต่งบนเพดานโดมของพระที่นั่งแล้ว ยังได้ ชื่นชมผลงานยอดเยี่ยมของสมาชิกศิลปาชีพ ที่แสดงให้เห็นถึงภูมิปัญญาเชิงศิลป์ที่บ่งบอกถึงเอกลักษณ์ของไทยที่สืบทอด สู่ลูกหลาน เป็นสมบัติของแผ่นดินที่คนไทยภาคภูมิใจ
บุษบก มาลา
บุษบกมาลา มีเครื่องยอดขนาดเล็ก มีหลังคาซ้อนชั้นเป็นยอดแหลม มีบันแถลงเป็นเครื่องประดับ เป็นเครื่องประกอบพระราชอิสริยยศ บุษบกที่ประกอบเกรินทั้งซ้ายขวา เรียกว่า “บุษบกมาลา” เป็นเครื่องประกอบพระราชอิสริยยศ ที่ผสมผสานงานฝีมือ ทั้งถมทอง คร่ำ ลงยาสี เครื่องเงินเครื่องทอง แกะสลักไม้ ตกแต่งปีกแมลงทับ และย่านลิเภาหรือซุ้มยอด

More info ART OF THE KINGDOM

สีวิกากาญจน์ - ศิลป์แผ่นดิน

Sivikakarn or Covered Palanquin

สีวิกากาญจน์ เครื่องบนเรือนกัญญา หลังคาลดชั้น หน้าบันจำหลักฉลุทองคำ ลงยาราชาวดีมีรูปกมลาสน์ลีลาศหงส์ รวยระกาจำหลักทองฉลุลงยาราชาวดี ตัวรวย และนาคสะดุ้งจำหลักทองฉลุซับพื้นปักแมลงทับ หางหงส์ผูกเป็นเทพถวายกรเบือน ประกอบเครื่องทรงทองคำประดับเพชร ช่อฟ้าทองคำจำหลักลงยา สันบนจำหลักฉลุทองลงยาราชาวดี ปักบราลีรูปพรหมประนมกร ผืนหลังคานอกฉลุ จำหลักลายพุ่มเข้าบิณฑ์ก้านแย่งทองพื้นซับปีกแมลงทับ เชิงกลอนจำหลักทองลงยา ทวยรูปนาคหกจำหลักทองลงยา เสาบัวปลายเสา และเชิงเสาลางจำหลักทองลงยา ตัวเสาลายพุ่มเข้าบิณฑ์แยงผูกม่านทอง แผงบังม่านจำหลักทองรูปนกไม้เทศ ฐานสิงห์หน้ากระดานลางจำหลักไม้ปิดทองคำเปลว ลายปฎิญาณน้อยใหญ่ จำหลักฉลุอย่างวิจิตรด้วยไม้โมก ทั้งตัว ราวหนา และหลังจำหลักฉลุอย่างวิเศษยิ่ง พื้นสานเส้นเงินแล่งลายดอกสี่กลีบลาดด้วยสุจหนี่ไหมแดงครั่ง ปักไหมทองลายดวงกุดัน รักร้อย มีคานหามจำหลักไม้ลายพุ่มเข้าบิณฑ์ก้านแยง สอดในห่วงขาจำหลักทองลงยาอย่างประณีตยิ่ง
source: www.artsofthekingdom.com , รายการจับเข่าคุย

บุษบกจตุรมุขพิมาน

Busabok Chaturamook Bhiman Throne

บุษบกจตุรมุขพิมาน  เป็นบุษบกไม้แกะสลัก 5 ยอด ไม้ที่แกะสลัก ส่วนใหญ่เป็นไม้สัก แกะได้ละเอียดมาก และไม้โมกมันประกอบ ส่วนที่เป้นสาหร่ายด้านหน้า เรียกว่า สาหร่ายรวงผึ้งซึ่งทำจากไม้อุโลก ภายในบุษบก ประดิษฐาน ตราพระราชลัญจกร ของพระมหากษัตริย์ราชวงศ์จักรีทั้ง 9 รัชกาล ตราทั้ง 9 ทำจากทองคำแท้ ฉลุลาย ประดับเพชร อาทิ พระมหามงกุฏ พระเกี้ยว
ส่วนที่เป็นนรสิงห์ หรือครุฑยึดนาคทำจากไม้โมกมัน และปิดด้วยทองคำเปลว ไม้แกะสลัก แกะด้วยมือทั้งหมด นรสิงห์ทุกๆ ตัวแกะด้วยมือ และใช้ ช่างแกะสลักไม้ คนที่แกะหน้า อยู่ 1-2 คน นอกนั้นต้องขึ้นโครงอย่างอื่น เพราะไม่งั้นเดี๋ยวจะเพี้ยนกันหมด

บุษบกเรือนยอด กลางใหญ่จำหลักไม้สักทองและเครื่องประกอบจำหลักไม้อุโลก ไม้โมกอย่างประณีต ออกมุขเป็นเรือนบุษบกเล็กออกไปทั้ง 4 ทิศ จำหลักอย่างวิจิตรเช่นกัน ยอดประดับบันแถลง ปักบราลี ตลอดทั้ง 5 ยอด โดยเฉพาะทวยพิเศษรูปครุตยุคนาค ประดับสาหร่ายออกรูปพรหมรักษ์รวงผึ้ง เสาจำหลักพิศดารติดกาบพรหมศร ประจำยามรัดอก มีพนักจำหลักพุ่มเข้าบิณฑ์ พนักหน้าทั้ง 4 มุข รูปเทพยดาเชิญพระแสงขรรค์ พื้นซับปีกแมลงทับ ฐานสิงห์ ท้องไม้รายด้วยรูปครุฑยึดนาค ฐานสิงห์ล่างท้องไม้ ประดับรูปนรสิงห์อยู่รายรอบ ในเรือนบุษบกพิมานห้องใหญ่ประดิษฐานพระบรมราชสัญญลักษณ์ รัชกาลที่ 1 รัชกาลที่ 2 รัชกาลที่ 3 รัชกาลที่ 4 และ รัชกาลที่ 5 บุษบกพิมานมุขตะวันออก ประดิษฐานพระราชสัญจกร รัชกาลที่ 6 รูปพระสันตดุสิตโพธิสัตว์ มุขบุษบกพิมานด้านทิศเหนือ ประดิษฐานพระราชสัญจกร รัชกาลที่ 7 รูปสามพระแสงศร
source: www.artsofthekingdom.com , รายการจับเข่าคุย

หัตถศิลป์แห่งสยาม ศิลป์แผ่นดิน

หัตถศิลป์แห่งสยาม ศิลป์แผ่นดิน

เรือพระที่นั่งศรีสุพรรณหงส์ จำลองมาจาก เรือพระที่นั่ง สุพรรณหงส์ รัชกาลที่ 1 เมื่อสมัยรัชกาลที่ 1 ทรงสร้างเรือพระที่นั่งต่างๆ มากมาย

เรือพระที่นั่งจำลองศรีสุพรรณหงส์ โครงข้างในทำด้วยเงินทั้งหมด ขึ้นลำเรือด้วยเงิน และท้องเรือเป็นถุงทอง ซึ่งเป็นงานของแผนกถมทอง งานสลักทองเป็นงานของแผนกเครื่องเงินเครื่องทอง และแผนกลงยาสี ช่วยกันทำ

สมัยก่อนเรือพระที่นั่งศรีสุพรรณหงส์ เรียกเช่นนี้จาก ศีรษะของหงส์ มาในสมัยรัชกาลที่ 6 ท่านก็เอาคำว่า ศรีออก เหลือแต่สุพรรณหงส์

เรือพระที่นั่งจำลองศรีสุพรรณหงส์ สร้างด้วยเงินถมทอง ศีรษะหงส์จำหลักทองลงยาราชาวดี ตาและเขี้ยวประดับเพชร ปากห้อยพู่พุ่มทองระย้าประดับเพชร ลายประกับตามหน้าหลังผูกลายก้านขดออกหน้าหงส์ ทองจำหลักลงยาฉลุซับพื้นปีกแมลงทับ หางจำหลักทองลงยา

พระที่นั่งพุดตานถมทอง สร้างด้วยเงินถมตะทอง ท้องไม้ 2 ชั้น ชั้นล่างรายระยะด้วยครุฑยุดนาค ชั้น 2 รายรูปเทพยดาประนมกร ราวพนักถมทองซับปีกแมลงทับ รองด้วยฐานสิงห์

พระที่นั่งพุดตานคร่ำเงินคร่ำทอง จำลองจากพระที่นั่งพุดตานจำหลักไม้ที่พระบวรราชวัง ชั้นทรงพระที่นั่งสร้างด้วยเหล็กคร่ำเงินคร่ำทอง ท้องไม้ ชั้นบนคร่ำทอง พื้นซับปีกแมลงทับ ชั้นถัดลงมาคร่ำทองพื้นซับปีกแมลงทับ หัวเสาเม็ดทรงมัณฑ์ ลายเฟืองติดพลอยแดง
ขั้นตอน การคร่ำทองบนเนื้อเหล็ก

พระที่นั่งพุดตานคร่ำเงินคร่ำทอง พระที่นั่งองค์นี้ข้างในส่วนประกอบเป็นเหล็กหมดเลย และใช้ทองคำ 100% ดึงมาเป็นเส้นเท่าเส้นผม และฝังบนเนื้อเหล็ก การที่เราจะเอาทองคำฝังบนเนื้อเหล้ก ไม่สามารถจะเอาทองคำฝังไปได้เพราะว่าผิวหน้าเหล็กมันเรียบ เราต้องสับหน้าเหล็กให้ขรุขระ โดยการตั้งองสาสิ่ว 8 ครั้ง สับไปสับมา เมื่อผิวหน้าเหล็กขรุขระ เราก็สามารถนำเส้นทองคำฝังลงไปได้ มันจะเกาะติดดึงไม่ออกเลย ซึ่งมันจะทำหน้าที่เหมือนหนามเตย
source: www.artsofthekingdom.com , รายการจับเข่าคุย

บุษบกมาลา – ศิลป์แผ่นดิน

บุษบกมาลา
บุษบกมาลา เป็นงานที่เราทำขึ้นเมื่อสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ เจริญพระัชนม์มายุครบ 6 รอบ ในปีพ.ศ. 2547 ซึ่งเป็นงานร่วมใจของ 7 แผนก

บุษบก ซุ้มยอดก็เรียก เป็นเครื่องยอดขนาดเล็ก มีหลังคาซ้อนชั้นเป็นยอดแหลมมีบันแถลงเป็นเครื่องประดับ เป็นเครื่องประกอบพระราชอิสริยยศ บุษบกที่ประกอบเกรินทั้งซ้ายขวาเรียกบุษบกมาลา บุษบกมาลาจำหลักทองประดับเพชร ปลายยอดปักพุ่มเข้าบิณฑ์ ดอกไม้เพชร ซุ้มบันแถลงจำหลักทองปักบราลี  บัวถลา หลังคาถมทอง เสาย่อไม้คร่ำทอง วิสูตรทองคำ ลายแก้วชิงดวงประดับเพชร รอบทั้ง 4 ด้าน มีทวยทองคำจำหลักเป็นนาคเสียรหกลงประกับเสาหางยันเต้าคร่ำทอง เพดานมาศจำหลักทองฉลุลายเทศ ตรงกลางประดับนพรัตน์ดารา ที่พื้นบุษบกลาดทองคำสาน ตั้งพานพุ่ม พานลงยาพุ่มดอกไม้เพชรบนฐานสิงห์ถมทอง ที่เชิงล่างเสาทั้ง 4 ติดกาบพรหมศร รายรอบด้วยกระจังปฎิญาณลงยา ประกอบเกรินซ้ายขวาจำหลักทอง ลายกระหนกใบ และดอกเทศลงยาประดับเพชร บนเกรินทั้งซ้ายขวาลาดทองสาน ตั้งพานเชิงประกอบนาค ตั้งพุ่มดอกไม้เพชร และมีฉัตรทองประดับเพชร ฐานคร่ำทองแกมลายจำหลักทอง ซับปีกแมลงทับ บุษบกมาลานี้จำลองแบบจากพระที่นั่งบุษบกมาลามหาจักรพรรดิ์พิมาน ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ในพระมหามณเฑียร พระบรมมหาราชวัง

source: www.artsofthekingdom.com

งานช่างลายรดน้ำ ช่างสิบหมู่

ที่มาของภาพ:หนังสือความรู้ทั่วไปในงานช่างศิลป์ไทย,กรมศิลปากร,๒๕๔๕
สถาบันศิลปกร กรมศิลปากร
ส่วนช่างสิบหมู่

ลายรดน้ำ หมายถึง ลวดลายหรือภาพรวมไปถึงภาพประกอบลายต่างๆที่ปิดด้วยทองคำเปลวบนพื้นรัก โดยลวดลายหรือภาพลายทองที่ปรากฎสำเร็จในขั้นสุดท้ายด้วยการเอาน้ำรด กล่าวโดยย่อ “ลายรดน้ำ” คือ ลายทองที่ล้างด้วยน้ำ ลายรดน้ำ จัดเป็นงานประณีตศิลป์ ประเภทการตกแต่งประเภทหนึ่ง

เครื่องมืออุปกรณ์ช่างลายรดน้ำ
ยาง รักหรือน้ำรัก สมุก ทองคำเปลว หรดาล ฝักส้มป่อย มะนาว กาวยางมะขวิด ดินสอพอง กระดาษทราย สำลี น้ำมันสน น้ำมันก๊าด น้ำมันการบูร ฝุ่นถ่านไม้ ผงดินเผา ฝุ่นถ่านเขากวางกระดาษโรยแบบเข็มปรุ ลูกประคบฝุ่น ลูกประคบทอง กระดานผสมสมุก ไม้พายทาและผสมสมุก แปรงจีนขนาด ๑ นิ้วครึ่ง ควรใช้ทารักหินฟองน้ำ หินลับมีดโกน โกร่งใส่น้ำยา สะพานรองมือ แปรงปัดทอง เกรียง ตู้บ่มรัก

กรรมวิธีในการสร้างลายรดน้ำ ประกอบด้วยขั้นตอนต่างๆ ดังต่อไปนี้
เริ่มต้นด้วยด้วยการออกแบบ และเขียนแบบโดยร่าง แบบตัวภาพ และลายที่จะเขียนบนกระดาษร่างเสียก่อน โดยร่าง แต่เพียงเค้าโครงให้ได้รูปที่สวยงามถูกต้อง โดยไม่จำเป็นต้องลง ลายละเอียดให้มากเกินไป นำแบบหรือลวดลายที่ร่างไว้แล้ว ไป ทำแบบปรุ โดยใช้กระดาษไขปิดทับไปบนแบบที่ร่างไว้ ๑ แผ่น ที่เหลือประมาณ ๓ – ๔ แผ่น วางซ้อนด้านล่างไว้ แล้วยึดด้วย แม็กเย็บกระดาษกันเลื่อน ทำการปรุโดยใช้เข็มปรุ ขณะเดียว กันต้องเตรียมพื้นวัสดุ ใช้ไม้อัดขนาด ๖ มิลลิเมตร ตัดให้ได้ขนาด กับแบบที่ร่างไว้ หรือจะใช้วัสดุอื่นใดก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นพลาสติก กระเบื้อง หรือโลหะ ฯลฯ ที่ทารักได้นำมาขัดด้วยกระดาษทรายน้ำ แล้วลงรักทิ้งให้แห้งแล้วขัดเรียบ (ปัจจุบันช่างอาจใช้สีโป๊วแห้ง เร็วทำพื้นแทน) นำพื้นที่ขัดไว้ดีแล้วไปลงรักน้ำเกลี้ยง ๓ ครั้ง โดย แต่ละครั้งต้องรอให้รักที่ลงแห้งสนิทเสียก่อน จึงขัดแล้วลงรักซ้ำ ลงไป ทำเช่นนี้จนครบ ๓ ครั้ง เป็นอย่างน้อย แล้วทำการเช็ดรัก ชักเงาพื้น นำไปบ่มเก็บในที่ที่ไม่มีฝุ่นละออง

หลังจากนั้น ล้างทำความสะอาดพื้นรัก โดยการใช้ดินสอพองผสมน้ำแต่น้อย ทำความสะอาดพื้นรักให้ หมดคราบความสกปรกต่างๆ แล้วจึงเอาแบบปรุที่เตรียมไว้มาลูบด้วยลูกประคบฝุ่นดินสอพองเผาไฟลงไป บนพื้นรัก ที่ล้างทำความสะอาดไว้แล้ว จนปรากฏภาพหรือลายบนพื้นรักจากนั้นเขียนด้วยน้ำยาหรดาล ด้วยพู่กันชนิดพิเศษ จุ่มลงในโกร่งน้ำยาหรดาลที่เตรียมไว้ แล้วเขียนไปตามแบบภาพ หรือลายที่ปรากฏบนพื้นจนแล้วเสร็จ

ขั้นต่อมา การเช็ดรัก นำรักเช็ด เช็ดลงบนพื้นภาพ หรือลายที่เขียนเสร็จแล้ว โดยเช็ดให้ทั่วทั้งภาพ แล้วถอนออก โดยใช้สำลีถอนรักเช็ดให้เหลือน้อยที่สุด พอใช้หลังมือแตะ แล้วรู้สึกได้ว่ายังมีความเหนียวอยู่ หลังจากนั้นจึงปิดทองโดย ใช้ทองคำเปลว ๑๐๐% อย่างดีสีเดียวกันปิดทับลงไปโดยให้ เกยกันประมาณ ๒ มิลลิเมตร จนทั่วทั้งภาพ แล้วใช้มือกวดทอง ให้เรียบเป็นเนื้อเดียวกัน นำภาพหรือลายที่ปิดทองเรียบร้อยแล้ว ไปล้าง หรือรดด้วยน้ำสะอาดล้างนำยาหรดาลออกให้หมด แล้ว เช็ดให้เรียบร้อยสวยงาม

กรณีที่ล้าง หรือรดด้วยน้ำแล้ว มีบางตอนชำรุด ทองหลุดออก ต้องทำการเขียนซ่อม โดยทำความสะอาด บริเวณที่จะซ่อมด้วยดินสอพองผสมน้ำเสียก่อน จึงค่อยเขียน ด้วยน้ำยาหรดาล ทำเรื่อยลงมาถึงการรดน้ำ ก็จะได้ภาพที่ สมบูรณ์

ช่างเขียน เป็นหนึ่งในบรรดาช่างสิบหมู่ ช่างเขียนนับว่าเป็น แม่บทแบบแผน หรือหัวใจของการดำเนินงานสร้างผลงานศิลปะ ของช่างแขนงต่างๆ มาตั้งแต่สมัยโบราณ เพราะในการทำงาน ช่างต้องอาศัยการวาด การเขียน การกำหนดรูปแบบ หรือร่างแบบ เค้าโครงก่อน แล้วจึงนำไปปฏิบัติงานจริงในงานศิลปะเกือบทุกแขนง

ลักษณะของงานนั้น เป็นแบบประเพณีหรืออุดมคติ คนโบราณนิยม เขียนภาพเป็น พุทธบูชาตามผนัง โบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญนี้เรียกว่า จิตรกรรมฝาผนัง และเขียนไว้ตาม สมุดไทยหรือบนผ้าพระบฎอีกด้วย

ช่างลายรดน้ำ เป็นงานปราณีตศิลป์ทางด้านตกแต่งอย่างหนึ่ง ซึ่งมีรูปแบบและการทำสืบเนื่องกันมาแต่โบราณ งานช่างลายรดน้ำ จัดเป็นงานช่างศิลป์ประเภทหนึ่งซึ่งรวมอยู่ในหมู่ช่างรัก อันเป็นช่างหนึ่ง ในงานช่างสิบหมู่

คำว่าลายรดน้ำ หมายถึง การเขียนลวดลายหรือรูปภาพ ให้ปรากฎเป็น ลายทอง ด้วยวิธีการปิดทอง แล้วเอาน้ำรด เพื่อให้เกิดเป็นลวดลาย ตามที่ต้องการ

ลักษณะพิเศษของลายรดน้ำ คือ มีกรรมวิธีในการเขียนผิดแผก แตกต่างไปจากงานจิตรกรรมทั่วไป ที่ใช้หลายสีหรือแม้แต่งานจิตรกรรม ประเภทเอกรงค์เองก็ตาม ที่เป็นเช่นนี้เพราะ การเขียนลายรดน้ำ จะใช้น้ำยาหรดาล เขียนลงบนพื้นซึ่งทาด้วยยาง ที่ได้จากต้นรัก เมื่อเขียนลาย เสร็จแล้วจึงเช็ดรักแล้วปิดทอง

งานช่างลายรดน้ำ เป็นงานประณีตศิลป์ที่มีความสำคัญมาก สำหรับ ตกแต่งสิ่งของเครื่องใช้ทั้งของชาวบ้าน เครื่องใช้ในพุทธศาสนา ตลอดไปจนถึงในส่วนที่เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ ที่มีหลักฐานปรากฎมา ตั้งแต่กรุงสุโขทัยเป็นราชธานี

งานช่างแขนงนี้ จึงเป็นมรดกทางศิลปกรรมที่มีคุณค่ายิ่งของไทย มีเอกลักษณ์โดดเด่น เฉพาะตัวทั้งวิธีการเขียนลวดลาย การเขียนและ การใช้เส้น การปิดทอง สีสันที่อ่อนช้อยนุ่มนวลแสดงให้เห็นถึง จินตนาการของช่างไทย แต่ละยุคสมัยสะท้อนความเป็นอยู่ของสังคม ขนบธรรมเนียมประเพณีของไทยในอดีตเป็นอย่างดี 

งานช่างลายรดน้ำ

หีบลายทองรดน้ำ เรื่องทรพีจับทรพา อยู่ที่ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร กรุงเทพมหานคร
งานช่างลายรดน้ำ เป็นงานประณีตศิลป์ด้านตกแต่ง อย่างหนึ่งซึ่งมีรูปแบบ และการทำสืบเนื่องกันมาแต่โบราณ จัด เป็นงานช่างศิลป์ ประเภทหนึ่งซึ่งรวมอยู่ในช่างรักอันเป็นช่างหมู่ หนึ่งในบรรดาช่างหลวง หรือช่างประจำราชสำนักซึ่งเรียกกันว่า “ช่างสิบหมู่”

ลายรดน้ำ หมายถึง การเขียนลวดลาย หรือรูปภาพให้ ปรากฏเป็นลายทองด้วยวิธีปิดทองแล้วเอาน้ำรด จัดเป็นงาน ประณีตศิลป์ที่มีความสำคัญมาก สำหรับตกแต่งสิ่งของ เครื่องใช้ และเครื่องประดับของขาวบ้านธรรมดา เครื่องใช้ในพระพุทธ ศาสนา ตลอดไปจนถึงในส่วนที่เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ โดยใช้ ตกแต่งตั้งแต่สิ่งของที่มีขนาดเล็กขึ้นไปจนถึงประดับตกแต่งผนัง ห้องที่มีขนาดใหญ่ อันหมายถึงตกแต่งตั้งแต่เนื้อที่ไม่กี่ตารางนิ้ว ไปจนถึงเนื้อที่หลายร้อยตารางฟุตให้วิจิตรงดงาม สรุปโดยย่อลาย รดน้ำก็คือลายทองที่ล้างด้วยน้ำ
การเขียนลวดลายหรือรูปภาพ ประเภทลายรดน้ำนี้ คงจะมีมาแต่ครั้งกรุงสุโขทัยเป็นราชธานีในสมัย นั้นได้มีการติดต่อค้าขายกับจีน และโดยเหตุที่ชาวจีนเป็นชาติแรกที่รู้จักการใช้รู้ก่อนชาติอื่น จึงทำให้เชื่อได้ว่าไทย เราคงได้รับการถ่ายทอดถึงวิธีการต่างๆ ในการใช้รักรวมไปถึงกรรมวิธีในการทำลายรดน้ำ มาแต่ครั้งสุโขทัยนั้นเอง

งานประเภทลายรดน้ำนี้ คงแพร่หลายและเป็นที่นิยมเรื่อยมาจนถึงสมัยอยุธยา และต่อมาจนถึงสมัย รัตนโกสินทร์ ดังปรากฏศิลปะโบราณวัตถุที่ตกทอดมาได้แก่ ตู้พระธรรม เครื่องใช้สอย เครื่องครุภัณฑ์ ได้แก่ หีบต่างๆ ไม้ประกับหน้าคัมภีร์ พานแว่นฟ้า โตก ตะลุ่ม ฝา บานตู้ ฉากลับแล ฝาผนัง บานประตูหน้าต่าง เป็นต้น จะเห็นได้ว่างานช่างลายรดน้ำของไทยนั้นมีคุณค่าทางด้านศิลปะอันมีลักษณะโดย เฉพาะ และเป็นแบบอย่างของ ศิลปะไทยมาแต่โบราณ แม้ว่างานส่วนใหญ่จะเน้นหนักไปในด้านที่เกี่ยวกับศาสนา และพระมหากษัตริย์ ก็ยังมีอีก ไม่น้อยที่เกิดจากชาวบ้านธรรมดา เพื่อใช้เป็นเครื่องประดับตกแต่งบ้านเรือน และเป็นที่เชิดหน้าชูตาแห่งตน
ตู้ลายรดน้ำ รูปเทพารักษ์ ประทับยืนบนนาคบัลลังก์ ประกอบด้วยลายช่อกนก และช่อดอกไม้ ฝีมือช่างสมัยอยุธยา อยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร กรุงเทพมหานคร
ลักษณะพิเศษของลายรดน้ำ
ลักษณะพิเศษของลายรดน้ำ คือ มีกรรมวิธีในการ เขียนผิดแผกแตกต่างไปจากงานจิตรกรรมทั่วไป ที่ใช้สีหลายสี หรือแม้แต่งานจิตรกรรมประเภทเอกรงค์เองก็ตาม ที่เป็นเช่นนี้ เพราะการเขียนลายรดน้ำ ใช้น้ำยาหรดาลเขียนบนพื้นซึ่งทาด้วย ยางที่ได้จากต้นรัก เมื่อเขียนเสร็จแล้วจึงเช็ดรัก ปิดทองแล้วเอา น้ำรดน้ำยาหรดาลที่เขียน เมื่อถูกน้ำก็จะหลุดออก ส่วนที่เป็นลวด ลายทองก็ติดอยู่ ทำให้ลวดลายหรือรูปภาพที่ปรากฏ หลังการรด น้ำเป็นสีทองเพียงสีเดียว บนพื้นสีดำหรือสีแดง

นอกจากกรรมวิธี การเขียนที่แตกต่างกันแล้ว กรรมวิธี ในการทำพื้นหรือ เตรียมพื้นก็ยังแตกต่างกันอีก กล่าวคือในการ เขียนลายรดน้ำ ไม่ว่าจะเขียนบนพื้นหรือวัสดุชนิดใดก็ตาม พื้น หรือวัสดุนั้นจะต้องทาด้วยยางรัก ๒ ถึง ๓ ครั้งเสียก่อน จึงจะลง มือเขียนด้วยน้ำยาหรดาล ส่วนที่ว่าจะงดงาม หรือมีคุณค่ามากน้อยเพียงใดนั้นอยู่ที่แบบลวดลายที่ถูกต้องสมบูรณ์ มีความ ประสานกลมกลืนกัน อันเป็นลักษณะพิเศษโดยเฉพาะของศิลปะไทย องค์ประกอบของภาพโดยทั่วไป ความหรูหรา ตลอดจนความสวยงามของลวดลายจะอยู่ที่ภาพแสดงความเป็นอยู่ของสัตว์ ปะปนอยู่ทั่วไปในระหว่างพืชพันธุ์ไม้ ภาพสัตว์เล็กๆ ซึ่งมักเขียนให้มีลักษณะเป็นจริงตามธรรมชาติมากกว่าภาพสัตว์ใหญ่ สิ่งที่สำคัญอยู่ที่ชีวิตของ สัตว์แต่ละตัว จะต้องให้ความรู้สึกเป็นจริงตามสภาพของสัตว์เมืองร้อน อันมีชีวิตเกี่ยวข้องอยู่กับพันธุ์พฤกษชาติ ต่างๆ ที่มีอยู่ทั่วไป ช่างผู้เขียน หรือศิลปินจะต้องมีความรู้ความเข้าใจอย่างดี จึงจะสามารถถ่ายทอดลักษณะ พิเศษโดยเฉพาะของสัตว์นั้นๆ ออกมาได้โดยให้ความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติจริงๆ

นอกจากจะมีความประสานกลมกลืนกันเป็นอย่างดีแล้ว ยังจะต้องมีความถ่วงกันอย่างพอเหมาะพอดี ของน้ำหนักอันเกิดจากความอ่อน และแก่ภายในภาพนั้นๆ ด้วยน้ำหนักอ่อนแก่ดังกล่าวเกิดจากสีดำของรัก และ ความสว่างของทองคำเปลว ถ้าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดมีมากจนข่มอีกฝ่ายหนึ่ง ก็จะเกิดความขัดแย้งไม่ประสานกันขึ้น ทำให้ความสวยงามของภาพลดน้อยลง

ลักษณะ พิเศษที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งถือเป็นหัวใจของการสร้างงานประเภทลายรดน้ำที่ขาดเสีย มิได้ก็คือ ตัวช่างหรือศิลปินจะต้องทำงานด้วยใจที่รัก มีความสามารถทำงานด้วยความประณีต บรรจงละเอียดรอบ คอบ ประกอบกับมีทักษะในด้านฝีมือเป็นสำคัญ รวมทั้งต้องมีความรู้ในเรื่องที่เกี่ยวกับลวดลายตลอดจนแม่บท ต่างๆ ของลายไทยเป็นอย่างดี ซึ่งสิ่งต่างๆ ดังที่ได้กล่าวมานี้ คือ องค์ประกอบสำคัญที่ทำให้ช่างหรือศิลปิน สามารถปฏิบัติงานได้อย่างได้ผล และมีประสิทธิภาพ

ฉลอง ฉัตรมงคล
นักวิชาการช่างศิลป์ ๘ว.
สถาบันศิลปกร กรมศิลปากร
ส่วนช่างสิบหมู่


ลายรดน้ำ หมายถึง ลวดลายหรือภาพรวมไปถึงภาพประกอบลายต่างๆที่ปิดด้วยทองคำเปลวบนพื้นรัก โดยลวดลายหรือภาพลายทองที่ปรากฎสำเร็จในขั้นสุดท้ายด้วยการเอาน้ำรด
กล่าวโดยย่อ “ลายรดน้ำ” คือ ลายทองที่ล้างด้วยน้ำ ลายรดน้ำ จัดเป็นงานประณีตศิลป์ ประเภทการตกแต่งประเภทหนึ่ง กรรมวิธีในการสร้างลายรดน้ำ การสร้างงานลายรดน้ำแต่ละชิ้น ประกอบด้วยขั้นตอนต่างๆ ดังต่อไปนี้

ขั้นตอนที่ 1 การออกแบบและเขียนแบบ ร่างแบบตัวภาพและลายที่จะเขียนลงบนกระดาษร่างเสียก่อน โดยร่างแต่เพียงเค้าโครงให้ได้รูปที่สวยงามถูกต้อง โดยไม่จำเป็นต้องลงลายละเอียดให้มากจนเกินไป

ขั้นตอนที่ 2 การทำแบบปรุ นำแบบหรือลวดลายที่ร่างไว้แล้ว ไปทำแบบปรุโดยใช้กระดาษไขปิดทับไปบนแบบที่ร่างไว้ 1 แผ่น ที่เหลือประมาณ 3-4 แผ่น วางซ้อนด้านล่างไว้แล้วยึดด้วยแม็กเย็บกระดาษกันเลื่อน ทำการปรุโดยใช้เข็มปรุ

ขั้นตอนที่ 3 การเตรียมพื้นวัสดุ ใช้ไม้อัดขนาด 6 มม. ตัดให้ได้ขนาดกับแบบที่ร่างไว้ หรือจะใช้วัสดุอื่นใดก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นพลาสติก กระเบื้อง หรือโลหะ ฯลฯ ที่ทารักได้นำมาขัดด้วยกระดาษทรายน้ำ แล้วลงรักสมุก หรือ สีโป๊วแห้งเร็วทิ้งให้แห้งแล้วขัดเรียบ

ขั้นตอนที่ 4 การลงรักน้ำเกลี้ยง นำพื้นที่ขัดไว้ดีแล้วไปลงรักน้ำเกลี้ยงสัก 3 ครั้ง โดยแต่ละครั้งต้องรอให้รักที่ลงแห้งสนิทเสียก่อน จึงขัดแล้วลงรักซ้ำลงไป ทำเช่นนี้จนครบ 3 ครั้งเป็นอย่างน้อย แล้วทำการเข็ดรักชักเงาพื้น นำไปบ่มเก็บในที่ที่ไม่มีฝุ่นละออง

ขั้นตอนที่ 5 ล้างทำความสะอาดพื้นรัก นำพื้นรักที่เตรียมไว้ดีแล้วไปทำความสะอาดโดยใช้ดินสอพองผสมน้ำแต่น้อย ทำความสะอาดพื้นรักให้หมดคราบความสกปรกต่างๆ

ขั้นตอนที่ 6 ลูบฝุ่นโรยแบบ เอาแบบปรุที่เตรียมไว้มาลูบด้วยลูกประคบฝุ่นดินสอพองเผาไฟลงไปบนพื้นรักที่ล้างทำความสะอาดไว้แล้วจนปรากฎภาพหรือลายบนพื้นรัก

ขั้นตอนที่ 7 เขียนด้วยน้ำยาหรดาล (ใช้สีโปสเตอร์แทนได้ แต่คุณภาพไม่เทียบเท่า) ใช้พู่กันชนิดพิเศษจุ่มลงในโกร่งน้ำยาหรดาลที่เตรียมไว้ แล้วเขียนไปตามแบบภาพหรือลายที่ปรากฎบนพื้นจนแล้วเสร็จ

ขั้นตอนที่ 8 การเช็ดรัก นำรักเช็ด เช็ดลงบนพื้นภาพหรือลายที่เขียนเสร็จแล้วโดยเช็ดให้ทั่วทั้งภาพ แล้วถอนออกโดยใช้สำลีถอนรักเช็ดให้เหลือน้อยที่สุด พอใช้หลังมือแตะแล้วรู้สึกได้ว่ายังมีความเหนียวอยู่

ขั้นตอนที่ 9 การปิดทอง ใช้ทองคำเปลวคัด100%อย่างดีสีเดียวกันปิดทับลงไปโดยให้เกยกันประมาณ 2 มม. จนทั่วทั้งภาพ แล้วใช้มือกวดทองให้เรียบเป็นเนื้อเดียวกัน

ขั้นตอนที่ 10 การรดน้ำ นำภาพหรือลายที่ปิดทองเรียบร้อยแล้ว ไปล้างหรือรดด้วยน้ำสะอาดล้างน้ำยาหรดาลออกให้หมดแล้วเช็ดให้เรียบร้อยสวยงาม

ขั้นตอนที่ 11 การซ่อมลายที่ชำรุด กรณีที่ล้างหรือรดด้วยน้ำแล้ว มีบางตอนชำรุดทองหลุดลอกออกต้องทำการเขียนซ่อมโดยทำความสะอาดบริเวณที่จะซ่อมด้วยดินสอพองผสมน้ำเสียก่อน จึงค่อยเขียนด้วยน้ำยาหรดาล ทำเช่นเดียวกับ ขั้นตอนที่ 7 เรื่อยลงมาถึงการรดน้ำก็จะได้ภาพสมบูรณ์

ขั้นตอนการทำ ลายไทย ลายรดน้ำ

ลายรดน้ำ เป็นลวดลายหรือภาพ รวมไปถึงภาพประกอบลายต่าง ๆ ที่ปิดด้วยทองคำเปลวบนพื้นรัก โดยขั้นตอนการทำสุดท้ายคือการเอาน้ำรด ให้ปรากฏเป็นลวดลาย จึงกล่าวได้ว่า “ลายรดน้ำ” คือ ลายทองที่ล้างด้วยน้ำ
อุปกรณ์ในงานลายรดน้ำ น้ำยาที่ใช้เขียนลายรดน้ำมีส่วนผสมอยู่ 3 อย่าง
1. หอระดาน เป็นก้อนหินที่มีสีเหลือง มาจากประเทศจีน ราคาค่อนข้างสูง และนำมาแปรรูปโดยบดละเอียด
2. กาวกระถิน Gum Arabic  แท้จริงแล้วมันคือยางสนชนิดหนึ่งจากต้น acacia ที่มีมากใน Africa เป็นเม็ดใส ๆ เป็นยางไม้จากต้นกระถิน โดยนำไปเคี้ยวกับน้ำร้อนมีความเหนียวคล้ายกับแป้งเปียก ยางสนแห้งจะมีลักษณะเป็นก้อนคล้ายอำพันสีส้มอ่อนๆ ละลายน้ำได้ หาซื้อได้ที่ พาหุรัด ตามร้านขายยาจีน
3. ฝักส้มป่อย เป็นฝักคล้ายจามจุรี โดยนำไปต้มกับน้ำร้อน (15 ฝักกับน้ำ 1 ลิตร) จะได้น้ำที่มีสีชา
แล้วนำวัตถุดิบทั้ง 3 มาผสมกัน
การปิดทองใช้ทองคำเปลว 100 เปอร์เซ็นต์ปิดลงไป วิธีการปิดนั้น ทองคำเปลวจะเปลือง หรือไม่เปลืองก็ขึ้นอยู่กับฝีมือในการปิด รอยต่ออย่าให้ซ้อนกัน ต้องใช้ทักษะค่อนข้างสูง เสร็จแล้วก็ใช้นิ้วที่สะอาดแตะไปที่รอยต่อของทองคำเปลว เปลงทองบางส่วนจะติดกับนิ้วขึ้นมา ก็เอาไปแตะตรงจุดที่ไม่มีทอง แล้วใช้สำลีที่สะอาดเช็ดเบา ๆ ให้ทั่วทั้งภาพให้แผ่นทองคำเปลวติดเนียนไปกับพื้น
เมื่อทำกรรมวิธีการปิดทองเรียบร้อยแล้ว จึงนำภาพไปรดน้ำ โดยใช้น้ำธรรมดา น้ำยาหอระดานเมื่อถูกน้ำจะละลายหลุดออกมา
ใช้สำลีชุบน้ำมาแปะให้ทั่ว ๆ ค่อย ๆ ลูบให้ทั่ว ลายก็จะปรากฎให้เห็นชัดเจนขึ้น
more info งานช่างลายรดน้ำ






รักแท้ โดยจันทนา แจ่มทิม

จันทนา แจ่มทิม ศิลปินที่ใช้เทคนิคการลงรักปิดทองแบบโบราณ

จันทนา แจ่มทิม ศิลปินที่ใช้เทคนิคการลงรักปิดทองแบบโบราณ
รักแท้ ใน ลายรดน้ำ
จันทนา แจ่มทิม เธอพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะได้พบ รักแท้ และรักษาให้รักแท้คงอยู่คู่เมืองไทยตลอดไป

รักแท้  ที่จันทนากำลังตามหา และเสมือนว่าเธอมีชีวิตอยู่อย่างที่เธออยากเป็นได้ ก็คือ ต้นรัก (ไม้ยืนต้น วงศ์เดียวกับมะม่วง) ที่กรีดบริเวณลำต้นแล้วให้ผลิตผลเป็น ยางรัก ซึ่งเป็นวัสดุสำคัญต่อการสร้างสรรค์งานศิลปะ ลายรดน้ำ

เช่นนั้นแล้วรักแท้ในที่นี้ไม่เกี่ยวกับ “ความรัก” แต่จะว่าไปแล้วก็มีเอี่ยวเหมือนกัน เพราะการที่จันทนาต้องตามหารักแท้นั้นเป็นผลมาจาก “ลายรดน้ำ” งานจิตรกรรมที่ปรากฏตัวอยู่บนพื้นผิวของ “งานช่างรัก” กำลังเกิดวิกฤตขาดแคลน “รัก” ทั้ง “ยางรัก” (รูปวัตถุ) และ “ความรัก” (นามวัตถุ) ที่เป็นเหตุให้การสร้างสรรค์ศิลปะลายรดน้ำกำลังลดน้อยและกำลังจะถูกลืมเลือน

เป็นเวลากว่า 20 ปี ที่จันทนาผูกพันอยู่กับงานศิลปะลายรดน้ำ นับตั้งแต่เรียนที่คณะจิตรกรรม ประติมากรรมและภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร เอกศิลปะไทย จนกระทั่งสำเร็จการศึกษามาเป็นอาจารย์ และในขณะนี้เธอเลือกที่จะเป็นศิลปินอิสระ ที่พร้อมทุ่มเทกายใจให้กับการสร้างสรรค์ สืบสาน อนุรักษ์ ศิลปะลายรดน้ำและยางรัก

“ตอนเรียนเราต้องหาตัวเองให้เจอ ต้องรู้จักตัวเองเพื่อที่จะสร้างงาน แล้วปรากฏว่าเราชอบเขียนลายเส้น เพราะลายเส้นแสดงออกได้อย่างลึกล้ำ การเขียนเส้นมีทั้งดุดัน ละเอียดอ่อน นั่นใช่เราเลย เปรียบเหมือนการพรรณนาโวหาร ลายรดน้ำรองรับความรู้สึกและแสดงออกถึงความเป็นตัวเราได้” จันทนา กล่าวถึงวิถีการทำงานศิลปะที่เธอทุ่มเท

“บ่มรัก...ด้วยรักแท้” นิทรรศการที่จัดแสดงงานจิตรกรรมลายรดน้ำ เป็นการรวบรวมผลงานเก่าของจันทนาและงานที่สร้างสรรค์ขึ้นใหม่ด้วยเทคนิคเดิม แต่มีการคลี่คลายรูปแบบ โดยเนื้อหาของนิทรรศการถูกแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 จัดแสดงผลงานจิตรกรรม และส่วนที่ 2 จัดแสดงงานศิลปะจัดวาง (Installation) และกระบวนการทำงานของศิลปิน (Process Art) ซึ่งเสมือนเป็นการยกเอาห้องทำงานส่วนตัวของศิลปินมาไว้ในนิทรรศการให้ผู้ชม ได้เห็น

ไม่ว่าจะชื่นชมผลงานจิตรกรรมลายรดน้ำที่สวยตระการตา หรือเยี่ยมชมกระบวนการทำงานก่อนที่จะสำเร็จเป็นจิตรกรรมสักชิ้น หากแต่สิ่งที่ศิลปินหวังยิ่งนักต่อผู้ชมนั่นคือ ต้องการให้ทุกคนได้เห็นถึงคุณค่าแห่งความพยายามในการสร้างสรรค์ ด้วยความยากลำบากและความพิถีพิถันในกระบวนการทำงาน ไม่ง่ายนักที่จะได้ผลงานแต่ละชิ้นออกมา หากแต่คุ้มค่าแห่งการรอคอยและควรค่าแก่การอนุรักษ์

ปฏิเสธไปไม่ได้ว่ายังมีสายตาหลายคู่ ความคิดจากหลายผู้คนที่มองว่า ศิลปะแนวลายรดน้ำนั้นเฉิ่มเชย ส่งผลให้มีศิลปินที่จะสร้างสรรค์งานแนวนี้น้อย ยังผลให้มีงานศิลปะลายรดน้ำออกมาสู่สายตาประชาชนน้อยตามไปด้วย ด้วยเหตุนี้จันทนาในฐานะผู้สร้างงานศิลปะในวิถีของศิลปิน – ไม่ใช่ช่าง จึงได้นำเสนอกระบวนวิธีเฉกช่างโบราณ แต่มีรูปแบบและแนวทางเช่นศิลปินร่วมสมัย

“มั่นใจมาตลอดว่าสามารถใช้เทคนิคโบราณมาสร้างสรรค์งานร่วมสมัยได้ อย่างงานที่ทำไม่มีรูปไหนที่เป็นลายไทยเลย เป็นงานฟอร์มธรรมชาติ อย่าง ใบโพธิ์ ก็เป็นงานแนวสัญลักษณ์อยู่แล้ว ฟอร์มสามเหลี่ยมก็เป็นสากล ส่วนผลงานที่ชื่อ กำเนิดจากความดี เราก็เล่นกับพื้นของลายรดน้ำ ขบวนการของลายรดน้ำ สมุก (ดิน อิฐ ดินสอพอง ถ่าน ใบตองแห้ง ฯลฯ ป่นเป็นผงผสมกับยางรักให้เหนียว ทาทับบนพื้นวัตถุเพื่อเตรียมผิว) ซึ่งสวยโดยธรรมชาติ

เทคนิคโบราณเวลาป้ายสมุกเพื่อทำลายรดน้ำจะต้องลงพื้นเรียบ แต่เราก็สร้างสรรค์เอาสมุกมาเพนต์ ทำเทกซ์เจอร์ตรงสมุกก่อน ก็ป้ายสมุกให้เป็นริ้วน้ำ เพราะเราเห็นความงามของกระบวนการ เราก็เอามาใช้ในงาน ให้เขาเป็นพระเอกบ้าง ไม่ใช่อยู่ข้างใต้อย่างเดียว ซึ่งเรียกเทคนิคนี้ว่า เทคนิคผสมจิตรกรรมรักสมุกลายรดน้ำ

อย่างไรก็ตาม ลายรดน้ำเป็นเทคนิคไทยโบราณ ชูประเด็นความเป็นชาติได้ ถึงจะทำสากลยังไง ทำแบบฟรีฟอร์ม หรือสาดสียังไง ความเป็นไทยก็แรง เพราะเทคนิคมันแรง”

ศิลปะ “ลายรดน้ำ” แทบจะไม่เป็นที่รู้จักของคนรุ่นใหม่ด้วยหลายสาเหตุ นอกจากกรรมวิธีในการทำจะยุ่งยากซับซ้อนแล้ว วัสดุประเภททองคำก็มีราคาสูง แถมในปัจจุบันยางรักยังหายาก จึงเป็นที่มาของ “โครงการตามหารักแท้”

“ตอนนี้เราซื้อรักจากเชียงใหม่ที่นำเข้ามาจากพม่าอีกที ตอนนี้ยางรักส่วนใหญ่ก็ไม่แท้แล้ว จะมีการผสมน้ำมันยาง คุณสมบัติของความเป็นรักที่ใส มันวาว จะน้อยลง พอผสมอย่างอื่นก็ไม่ค่อยเหนียว ก็ต้องหาซื้อรักแท้และราคาสูง กิโลกรัมละ 1,500 บาท ซึ่ง 1 กิโลกรัม ยังใช้ทำงานไม่ได้ถึงชิ้นเลย ส่วนทองคำเปลว ภาพขนาด 1.20 x 1.80 เมตร ใช้ประมาณ 3,000 แผ่น ซึ่งตกแผ่นละ 5 บาท ราคาก็ขึ้นอยู่กับตลาดโลกอีกที”

งานศิลปะที่เกิดจากความรัก จึงไม่มีเพียงนิทรรศการ “บ่มรัก...ด้วยรักแท้” เท่านั้น หากยังมีการรณรงค์ต่อเนื่อง ในกิจกรรมจัดพิมพ์หนังสือ “ลายรดน้ำ” ในช่วงสิ้นปีนี้ เพื่อจัดจำหน่ายและจะนำไปจ่ายแจกยังสถานศึกษา และหน่วยงานราชการด้านศิลปะทั่วประเทศ ขณะที่กิจกรรมโรดโชว์ “ตามหารักแท้” ตั้งแต่เดือน ม.ค. ถึง ธ.ค. ปีหน้าจะตามมาติดๆ

กิจกรรมโรดโชว์ “ตามหารักแท้” ในจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศนั้น มีวัตถุประสงค์ตามหาต้นรักที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในพื้นที่ต่างๆ ของประเทศไทย รวมทั้งส่งเสริมให้มีการปลูกเพิ่มมากขึ้น เพื่อจะได้ไม่ต้องอาศัยยางรักจากพม่า อีกทั้งยังเป็นการหารายได้เสริมให้กับเกษตรกรอีกด้วย โดยในส่วนนี้ยังรวมไปถึงการจัดเวิร์กช็อป อบรมการทำ “ลายรดน้ำ” อย่างถูกวิธี ให้ครูอาจารย์ผู้สอนศิลปะและนักวิชาการด้านศิลปะของกระทรวงศึกษาธิการ

ศิลปะ “ลายรดน้ำ” จะไม่สูญหายไปจากประเทศไทย หากคนไทยยังมีความรักในงานศิลปะ แล้วยังมีคนที่พร้อมจะสร้างสรรค์งานศิลปะแนวนี้ ที่สำคัญซึ่งขาดไปไม่ได้ก็คือ ทองคำ และ รักแท้

 ลายรดน้ำ … กระบวนการแห่งชีวิต
… ภายใต้ … ลวดลาย…เปลวระยับ
คือความงาม อันซับซ้อน ทรงคุณค่า
ระหว่างทาง … ระหว่างการณ์ … ระหว่าง … ระยะเวลา
หากเพียงจะค้นหา …ด้วยจิต, วิญญาณตน …

ต้นรักกับรักแท้

ต้นรักใหญ่
ต้นรัก กับรักแท้

การศึกษายางรักใหญ่ เพื่ออนุรักษ์ภูมิปัญญาไทย เรื่องงานยางรักของไทย ซึ่งปัจจุบันกำลังจะสูญหายไป เนื่องจากงานลงรักปิดทองมีความเกี่ยวข้อง และมีความสำคัญต่องานช่างฝีมือของไทยโดยตรง โดยเฉพาะงานช่างประดับมุข งานช่างหัวโขน งานช่างเขียน และเครื่องเขิน

จากการศึกษาวิจัยยางรักในหลายประเทศ พบว่า ยางรักในประเทศไทยมีประสิทธิภาพในการนำมาใช้ในงานช่างฝีมือมากที่สุด ซึ่งพบมากในจังหวัดเชียงใหม่ แต่ขณะนี้มีการปลูกน้อยลง จะเกือบจะสูญพันธุ์ไปแล้ว อีกทั้งขณะนี้คนไทยได้นำเข้าวัสดุทางเคมี จากต่างประเทศ มาใช้แทนยางรักแล้ว จึงทำให้คนเห็นความสำคัญของยางรักน้อยลง หรือบางคนแทบจะไม่รู้จักยางรักเลย ดังนั้น กรมศิลปากรจะร่วมมือกับกรมป่าไม้ พัฒนาสายพันธุ์ต้นรักใหญ่ให้มีคุณภาพ เพื่อที่จะนำผลผลิตส่งออกต่างประเทศได้ แทนการนำเข้าจากต่างประเทศ รวมทั้งจะกระตุ้น และรณรงค์ให้คนไทยหันมาปลูกต้นรักใหญ่ให้มากขึ้น

ต้นรัก เป็นไม้ยืนต้นอยู่ในวงศ์ไม้มะม่วง (Anacardiaceae) เป็นคนละชนิดกับต้นรัก Calotropis gigantean linn ซึ่งเป็นไม้พุ่มอยู่ในวงศ์ Asclepiadaceae ออกดอกเป็นช่อกลีบดอกสีม่วงหรือขาว ระยางรูปมงกุฎ นำมาใช้ร้อยพวงมาลัย ต้นรักหรือต้นไม้ในวงศ์มะม่วงมีอยู่ ๒ สกุล ที่ใช้เจาะเก็บยางรัก คือ สกุล Rhus และสกุลไม้รักใหญ่ (Melanorrhoea) ต้นรักในสกุลไม้รักใหญ่ มีอยู่ด้วยกัน ๔ ชนิด คือ ต้นรักใหญ่ (Melanorrhoea ustata) รักน้ำเกลี้ยง (Melanorrhoea laccifera) รักเขา (Melanorrhoea pilosa) และรัก (Melanorrhoea glabra)

แต่ต้นรักที่มีความสำคัญและใช้เจาะเก็บยางรัก เพื่อใช้ในงานอุตสาหกรรมเครื่องรักและเครื่องเขินของไทยและพม่า คือ ต้นรักใหญ่ การนำยางรักจากต้นรักมาใช้ ทำด้วยการกรีดหรือสับด้วยมีดที่ลำต้นรักให้เป็นรอยยาวๆ ยางรักจะไหลออกมาตามรอยที่กรีดและสับนั้น แล้วจึงนำภาชนะเข้ารองรับน้ำยางเป็นคราวๆ และเก็บรวบรวมไว้ใช้งานต่อไป ยางรักนี้บางแห่งเรียกว่า น้ำเกลี้ยง หรือ รักน้ำเกลี้ยง ยางรักแต่ละชนิดที่ช่างรักจะใช้ประกอบในการทำงานเครื่องรักมีอยู่หลายชนิด ดังมีชื่อเรียกที่แตกต่างกัน
ต้นรักใหญ่
รัก เป็นยางไม้ชนิดหนึ่ง ซึ่งชนชาติที่อาศัยอยู่ในทวีปเอเชีย รู้จักนำมาใช้ในการเคลือบและตกแต่งผิวของวัตถุตั้งแต่สมัยโบราณ โดยใช้ยางรักในการเคลือบสิ่งของเครื่องใช้ที่ทำจากวัสดุประเภทต่างๆ เช่น ไม้ เครื่องจักสาน หนัง ผ้า โลหะ เครื่องปั้นดินเผา หิน เป็นต้น เมื่อยางรักแข็งตัวแล้วจะมีคุณสมบัติป้องกันน้ำซึม และทนต่อสภาพของดินฟ้าอากาศ
ต้นรัก

ผล และดอก ของต้นรักใหญ่
รักดิบ คือ ยางรักสดที่ได้จากการกรีดหรือสับจากต้นรัก ลักษณะเป็นของเหลวสีขาวเมื่อทิ้งไว้สักระยะหนึ่ง จะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลไหม้ รักดิบนี้จะต้องผ่านการกรองให้ปราศจากสิ่งสกปรกปะปน และจะต้องได้รับการขับน้ำที่เจืออยู่ตามธรรมชาติในยางรักให้ระเหยออกตามสมควรเสียก่อน จึงจะนำไปประกอบงานเครื่องรักได้

รักน้ำเกลี้ยง คือ รักดิบที่ผ่านการกรองและได้รับการซับน้ำเรียบร้อยแล้ว เป็นน้ำยางรักบริสุทธิ์ จึงเรียกว่า รักน้ำเกลี้ยง เป็นวัสดุพื้นฐานในการประกอบงานเครื่องรักชนิดต่างๆ เช่น ผสมสมุก ถมพื้น ทาผิว

รักสมุก คือ รักน้ำเกลี้ยงผสมกับสมุก มีลักษณะเป็นของเหลวค่อนข้างข้น ใช้สำหรับอุดแนวทางลงพื้นและถมพื้น

รักเกลี่ย คือ รักน้ำเกลี้ยงผสมกับสมุกถ่านใบตองแห้งป่น บางทีเรียกว่า สมุกดิบ ใช้เฉพาะงานงานอุดรู ยาร่อง ยาแนวบนพื้นก่อนทารัก สำหรับปิดทองคำเปลว

รักเช็ด คือ รักน้ำเกลี้ยง นำมาเคี่ยวบนไฟอ่อนๆ เพื่อไล่น้ำให้ระเหยออกมากที่สุด จนได้เนื้อรักข้นและเหนียวจัด สำหรับใช้แตะ ทา หรือเช็ด ลงบนพื้นแต่บางๆ เพื่อปิดทองคำเปลว หรือทำชักเงาผิวหน้างานเครื่องรัก

รักใส คือ รักน้ำเกลี้ยงที่ผ่านกรรมวิธีสกัดให้สีอ่อนจาง และเนื้อโปร่งใสกว่ารักน้ำเกลี้ยง สำหรับใช้ผสมสีต่างๆ ให้เป็นรักสี

รักแต่ละชนิดดังที่กล่าวมานี้ ล้วนมีที่มาจาก รักดิบ ทั้งสิ้น รักแต่ละชนิดจะมีคุณภาพมากหรือน้อยก็ดี นำมาประกอบงานเครื่องรักแล้วจะได้งานที่ดี มีความคงทนถาวรเพียงใดนั้น ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติพื้นฐานของรักดิบ ที่ช่างรักจะต้องรู้จักเลือกรักดิบที่มีคุณภาพดีมาใช้
ลายรดน้ำ โดย จันทนา แจ่มทิม

ลวดลายปิดทองรดน้ำบนตู้พระธรรม วัดเซิงหวาย สมัยอยุธยา
สมุก เป็นวัสดุที่มีลักษณะเป็นผง หรือป่นเป็นฝุ่น สมุกที่ใช้ในงานเครื่องรักแบบไทยประเพณีอย่างโบราณวิธี มีอยู่ด้วยกัน ๒ ชนิด คือ

- สมุกอ่อน สมุกชนิดนี้ ได้แก่ ผงดินสอพอง ผงดินเหนียว เลือดหมูก้อน อย่างใดอย่างหนึ่ง ผสมกับรักน้ำเกลี้ยง ตีให้เป็นเนื้อเดียวกัน ใช้ทารองพื้นที่ต้องการ รองพื้นบางๆ และเรียบ

– สมุกแข็ง ได้แก่ ผงถ่านใบตองแห้ง ผงถ่านหญ้าคา ผงปูนขาว อย่างใดอย่างหนึ่ง ผสมกับรักน้ำเกลี้ยง ตีให้เป็นเนื้อเดียวกัน ใช้ทารองพื้นที่ต้องการรองพื้นหนาและแข็งแรงมาก

ต้นรัก มีขึ้นอยู่ทั่วไปในประเทศเวียดนาม พม่า ญี่ปุ่น และประเทศไทย ซึ่งในประเทศไทยมีมากทางภาคเหนือ เช่น ที่เชียงใหม่ เชียงราย และทางภาคใต้ที่อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งยางรักที่ได้จากที่นี่จะมีคุณภาพดี ส่วนในทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือมียางรักที่ อำเภอตระการพืชผล จังหวัดอุบลราชธานี แต่เป็นยางรักที่ไม่ค่อยจะมีคุณภาพนัก
วิธีการคัดเลือกยางรัก
การคัดเลือกรักเป็นสิ่งสำคัญต่อการประกอบงาน เพราะรักที่มีขายตามท้องตลาดมิใช่ว่าจะเป็นรักที่บริสุทธิ์ทั้งหมด อาจมีส่วนอื่นผสมเพื่อเพิ่มปริมาณก็ได้ เช่น น้ำมันดิน น้ำมันยาง หรือน้ำเปล่า เวลาซี้อเพื่อที่จะได้รักที่มีคุณภาพที่ดีนั้น อาจจะทดสอบง่ายๆ ได้ดังนี้

๑. ใช้นิ้วมือแตะยางรักขยี้และดมกลิ่นของรัก ถ้าบริสุทธิ์จะไม่มีกลิ่นน้ำมันดิน น้ำมันสน หรือน้ำมันยาง

๒. ใช้ไม้พายจุ่มลงไปในยางรัก แล้วยกขึ้นปล่อยให้ยางรักไหลกลับลงไปจากไม้พาย ถ้าเป็นรักที่บริสุทธิ์จะไหลติดต่อลงเป็นเส้นเสมอกัน ถ้าไม่บริสุทธิ์ยางรักจะไหลขาดลงเป็นตอน

๓. ใช้นิ้วมือแตะยางรัก แล้วนำไปทาลงบนแผ่นกระจก ยางรักที่มีคุณภาพดีจะทาได้เรียบเสมอกัน ถ้าไม่บริสุทธิ์จะทาลงแผ่นกระจกแล้วไม่ค่อยเรียบ

๔. ถ้ายางรักแห้งเร็วกว่าปกติ มักจะเป็นยางรักที่ถูกผสมด้วยน้ำมันสนมากเกินความต้องการ และมีคุณสมบัติ (คุณภาพ) เลวด้วย

๕. ใช้นิ้วมือแตะยางรักแล้วขยี้ดู ถ้ามีคุณภาพดีจะมีความเหนียวกว่ายางรักที่ปนด้วยสิ่งอื่นๆ

คัดลอกบางส่วน: เอกสารประกอบ สาขาช่างรัก ฝ่ายศิลปวัฒนธรรม วิทยาลัยช่างศิลปสุพรรณบุรี

บ่มรัก รักแท้

บ่มรัก รักแท้

ความหอมหวานของการบ่มรัก อาการหวนหาอดีตนี้ย่อมเกิดขึ้นพร้อมความรู้สึกแบบอนุรักษ์นิยมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้ในปัจจุบัน มโนทัศน์ดังกล่าวก็ยังคงปรากฏตัวออกมาในหลากหลายรูปแบบ ในปริมณฑลของศิลปะ การ “ ตามหาแต่เพียงลำพัง ” กลายเป็นวิถีเฉพาะตนของศิลปิน ท่ามกลางการสร้างสรรค์ทั้งมวลที่เกิดขึ้น ศิลปินจำนวนไม่น้อยค้นหาเส้นทางของ ตัวเองจากอดีตกาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งศิลปะจากประเทศฝั่งตะวันออก การศึกษาแบบตะวันตกที่กลายเป็นการศึกษาแบบ สากล ส่วนหนึ่ง ก่อให้เกิดความรู้สึกตัดขาดจากภูมิปัญญาดั้งเดิมที่เคยมีเคยเป็น การค้นหา อัตลักษณ์ของตนในแง่หนึ่งจึงเป็นการค้นหาอัตลักษณ์ของชาติไปพร้อมกับ ในระดับปัจเจก คำถามอย่าง “ เราจะสร้างงานศิลปะไทยร่วมสมัยที่มีรากเหง้าได้อย่างไร ” จึงเป็นประเด็นที่ผุดขึ้นมาอยู่เสมอ คำถามและข้อเรียกร้องนั้นดูราวกับว่า ศิลปะร่วมสมัยนั้น เป็น “ ทายาท ” ของงานแบบประเพณี ทว่าอะไรคือข้อกำหนดที่บ่งบอกว่ามันจะ ต้องเป็นเช่นนั้น หรือแม้กระทั่งว่ามันจะเป็นได้หรือไม่ อะไรคือ “ การคลี่คลาย ” ?

อย่างไรก็ตาม ณ ปัจจุบันที่เราได้นิยามศิลปะบนมาตรฐานของตะวันตกร่วมกันนี้ ก็ก่อให้เกิดเอกภาพในระดับหนึ่งเกี่ยวกับการสร้างสรรค์และความเคลื่อนไหวใน แวดวงศิลปะ บนเส้นทางการแสวงหานี้ วันวานยังหวานอยู่ การนำของเก่ากลับมา ใช้ใหม่จึงเป็นทางเลือกอันหนึ่งที่ถูกนำมาใช้ในรูปลักษณ์ต่างๆ กันไป เราคงไม่อาจ เรียกปรากฏการณ์นี้ว่าเป็นการคลี่คลายมาจากงานประเพณี เพราะคำว่า “ คลี่คลาย ” นั้นแนะเป็นนัยถึงการสืบทอดเป็นทายาท ความเชื่อมโยงที่เกิดขึ้นไม่ได้อยู่ในลักษณะ ของการเป็นลูกหลานโดยแท้ เพราะถึงที่สุดแล้วเรื่องของการนำกลับมาใช้ใหม่ก็เป็นประเด็น สากล อยู่ดี แต่ทั้งนี้ก็มิได้หมายความว่าการกระทำเช่นนั้นจะไร้เสียแล้วซึ่งคุณค่า ในทางตรงกันข้าม ผลผลิตของศิลปินเหล่านี้ได้สร้างความตื่นตาตื่นใจได้ไม่แพ้งานศิลปะ รูปแบบอื่นๆ ดังที่มีผู้กล่าวถึงไว้ว่าเป็นการ “ ทำให้ตกตะลึงด้วยของเก่า ”
จันทนา แจ่มทิม ผู้สร้างสรรค์นิทรรศการ “ บ่มรัก ” ที่ About Studio / About Cafe ก็เป็นศิลปินที่ได้รับการศึกษาศิลปะตามแนวทางแบบตะวันตกเช่นกัน จันทนาเลือก ใช้ลายรดน้ำเป็นเทคนิคในการทำงานโดยที่ผ่านมาเป็นผลงาน จิตรกรรม ทั้งหมด จิตรกรรมนี้เองที่หมายถึงการเป็นงานศิลปะ แบบสมัยใหม่ แม้ว่าจะใช้ เทคนิคแบบที่ช่างไทยโบราณทำสืบทอดกันมา แต่ก็ไม่ทั้งหมด จันทนา เลือก ที่จะตัดขั้นตอนบางอย่างออก เช่น การปรุกระดาษเพื่อตบดินสอพองหรือการสร้างลายใหม่ ตามจินตนาการของตน เป็นการตีตัวออกห่างงานแบบประเพณีดั้งเดิม ทั้งตัวจิตรกรรมเอง ก็คือการดึงเอาผลงานออกมาจากบริบทแบบเดิม ลายรดน้ำที่ตามปกติติดอยู่กับตู้พระธรรม บานประตู หน้าต่างคือองค์ประกอบที่อยู่ร่วมกับสิ่งอื่นเพื่อให้คุณค่าและหน้าที่แก่สิ่งนั้น – การทำบุญเพื่อสืบศาสนา “ รัก ” และ “ ทองคำเปลว ” ให้ทั้งในแง่ของความแข็งแรงมั่นคง และการบูชา แต่ผลงานของจันทนาคือการดึงเอาลายรดน้ำออกจากการให้คุณค่าและ ความหมายแก่สิ่งอื่นมาเป็นการนำเสนอตัวมันเองในฐานะงานจิตรกรรม ในกรอบสี่เหลี่ยมบน ผนังของพื้นที่แสดงงานศิลปะ บริบทเปลี่ยน นิยามเปลี่ยน เรื่องของวัดกับวังและหน้าที่ ใช้สอยหายไปพร้อมกับมโนทัศน์เกี่ยวกับศิลปินก็เข้ามาแทนที่เรื่องของช่างฝีมือ

ลายรดน้ำซึ่งเคยอิงอยู่กับสิ่งอื่นได้กลายมาเป็นวัตถุที่เสร็จสัมบูรณ์ในตัวเองนี้ อาจจะเรียกได้ว่าเป็นมุมมองแบบ Modernism โดยแท้ การใช้รูปแบบงานจิตรกรรม ได้ตอกย้ำประเด็นดังกล่าวลงไปด้วยการเป็นวัตถุที่จบในกรอบภาพ เมื่อ “ ลายประดับ ” กลายเป็น “ ภาพ ” จึงหมายถึงการเสนอ “ ตน ” ที่เป็นเอกเทศ แต่ในนิทรรศการนี้ จันทนาได้ก้าวเลยการนำเสนอลายรดน้ำที่เสร็จแล้วในกรอบสี่เหลี่ยมไปสู่การนำเสนอ ขั้นตอนการทำงาน จาก “ ผลลัพธ์ ” กลายเป็น “ กระบวนการ ” จาก “ ปลายทาง ” เป็น “ ระหว่างทาง ” ด้วยรูปแบบ installation ศิลปินยก / จำลองห้องทำงานอันเคย สงวนเป็นพื้นที่ส่วนตัวมาเปิดเผยในพื้นที่สาธารณะ ( หอศิลป์ ) จุด / สถานีต่างๆ ภายใน About Studio / About Caf? เป็นการหยิบเอากระบวนการแต่ละขั้นในการทำ ลายรดน้ำออกมาให้ดูพร้อมแสดงตัววัสดุ , วัตถุดิบทั้งหมดที่ใช้การได้จริง ตลอดช่วง เวลาของนิทรรศการ ศิลปินจะเข้ามาทำงานเพื่อเผยให้ผู้ชมเห็นถึงความซับซ้อนและ ระยะเวลาที่ใช้ในการสร้างลายรดน้ำ ในแต่ละสัปดาห์ ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น บนแผ่นไม้ถูกนำเสนอในฐานะงานศิลปะ แผ่นไม้เหล่านั้นไม่ได้เป็นเพียงตัวรองรับ ลายสีทองอีกต่อไป แต่ตัวมันถูกให้ค่าเช่นเดียวกับวัตถุดิบอื่นๆ ทั้งหมดที่จัดวางไว้ แต่ละช่วงมีไฮไลท์ของตนที่จับขึ้นมาสร้างเป็นผลงานได้ วัตถุดิบอย่างสมุกทั้งหลาย - สมุกคือวัสดุที่ใช้สำหรับรองพื้นไม้กระดาน เพื่อเตรียมทำลายรดน้ำ ได้แก่ ถ่านกะลามะพร้าว ถ่านใบตองแห้ง ผงอิฐ ดินสอพอง บดเป็นผงละเอียดโดยมีตัวประสานคือยางรัก

หรดาน ทองคำเปลวแสดงค่าของตัวมันเอง ออกมาด้วยการแช่แข็งกระบวนการไว้กลางคัน แผ่นไม้สีน้ำตาลไม่ใช่สีที่เกิดจากการ ทาสีที่ใช้โดยทั่วไปในงานจิตรกรรม แต่เป็นสีของสมุกที่ถูกอัดลงบนผืนผ้าขาวบาง บนแผ่นกระดาน แม้ขั้นตอนแต่ละช่วงจะถูกหยุดเพื่อนำเสนอในฐานะสิ่งที่ “ เสร็จ ” ( ด้วยการตัดสินใจของศิลปิน ) แต่ความเป็นกระบวนการของนิทรรศการทั้งหมดก็ก่อ พลวัตรให้ไหลเวียนไปพร้อมความเคลื่อนไหวของศิลปิน ปฏิบัติการณ์ของจันทนาเป็นทั้ง “ ความจริง ” ( ที่ศิลปินกระทำจริงในการสร้างลายรดน้ำ ) และ “ การแสดง ” ทางศิลปะ (performance) จุด / สถานีที่ใช้การได้จริงนั้นไม่ได้ “ จริง ” เสียจนลืมที่จะคำนึงถึงสุนทรียะ กระบวนการจริงและชั้นเชิงทางศิลปะดำเนินควบคู่ไปด้วยกันเป็นเนื้อเดียว

รายรดน้ำ
ศิลปะแบบกระบวนการ (process art) ที่เผยให้เห็นเบื้องหลังของการทำงานนี้ แฝงไว้ด้วยมโนทัศน์แบบสัมพัทธ์นิยม (Relativism) สิ่งต่างๆ ไม่ได้เสร็จสิ้นภาย ในตนเอง ในที่นี้เรื่องราวที่ดำเนินไป “ ข้าม ” จุด / สถานีก็เชื่อมโยงกันด้วยการ เป็นขั้นตอนที่ต้องผ่านก่อนจะเป็นลายรดน้ำ ด้วยกระบวนทัศน์แบบ ร่วมสมัย ( หรืออีกนัยหนึ่ง Postmodernism ) อาจจะเป็นสิ่งนี้ก็ได้ที่มีความ ใกล้เคียงกับงานโบราณของไทยในแง่ของการให้คุณค่ากับกระบวนการที่บ่งชี้ ถึงระยะเวลา ศาสนสถานอาจไม่สามารถเกาะกุมจิตใจผู้คนได้หากไม่ใช้เวลานับ สิบปีในการสร้าง ( หรือบางกรณีอาจเป็นร้อย ) การร่วมมือร่วมใจจากคนหมู่มาก อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้ตระหนักถึงคุณค่าจากการลงมือปฏิบัติเฉกเช่นผู้ชมที่เข้ามา ร่วมทำงานกับศิลปิน การแบ่งปันความเป็น “ ผู้สร้าง ” ให้แก่มืออื่นๆ เน้นย้ำถึง มโนทัศน์เกี่ยวกับการลงแขกอันเป็นวัฒนธรรมของคนไทย ( แม้ศิลปินจะยังคง รับบทเป็นผู้กำกับการแสดง ) ประสบการณ์ตรงย่อมทะลุทะลวงการรับรู้ นาน เท่าไหร่ที่ศิลปะพึงใช้เวลา ทั้งการสร้างและการเสพเรียกร้องความอดทนและ การเพ่งพินิจ งานแบบประเพณีที่รูปปั้น ภาพเขียนและอาคารหลอมรวมเป็น อันหนึ่งอันเดียวอย่างแยกกันไม่ออกอุปมาเหมือนแต่ละจุด / สถานีที่ถักทอ ตัวเองเข้าด้วยกันด้วยเป้าหมายอันหนึ่ง แม้ “ ความเป็นไทย ” จะมองไม่เห็น ด้วยตาเนื้อ แต่ก็อยู่ในบางสิ่งซึ่งลึกไปกว่าแง่มุมทางกายภาพหรือเนื้อหาทาง พุทธศาสนาที่ศิลปะมักหยิบยกมาใช้ หน้าตาของนิทรรศการที่ดูเป็น “ ของนอก ” โดยสิ้นเชิงนั้นกลับแสดงให้เห็นถึงลักษณะบางอย่างของวัฒนธรรมไทยแต่ดั้งเดิม

แนวคิดร่วมสมัยถูกนำมาใช้มองกลับไปที่งานโบราณและหยิบมาสร้างสรรค์เป็น ผลงาน ประณีตศิลป์แปรสภาพเป็นศิลปะ ไม่ใช่การคลี่คลายจากรากเดิม แต่เป็น แฝดคนละฝาเสียมากกว่า ความไม่จบในตัวเองและการอิงอยู่กับสิ่งอื่นที่พบใน แนวคิดแบบร่วมสมัยและแบบไทยโบราณมาประจบกันในนิทรรศการ “ บ่มรัก ” ด้วย “ ยางรัก ” และ “ ความรัก ” ที่ผ่านระยะเวลาในการ “ บ่ม ” นี้ ศิลปะได้ยืน อยู่บนข้อโต้แย้งและคำถามอันเป็นอุดมคติถึง “ รากเหง้า ” ของไทยที่ยังไม่จบสิ้น และอาจไม่มีวันจบสิ้น ทว่าสำหรับศิลปินแล้ว ได้ค้นพบและตอบคำถามของการ แสวงหา ส่วนตน ต่อวิถีของศิลปะ ไฟจากเถ้าที่กระจัดกระจายคุโชน อีกครั้ง ไอของอดีตยังไม่จางหาย กลิ่นยังกรุ่นอยู่ที่ปลายจมูก … ถ้าเพียงแต่จะก้มมาดมดอม
ธนาวิ โชติประดิษฐ

เครื่องเขิน

ประวัติความเป็นมาของเครื่องเขินกล่าวกันว่ามีจุดเริ่มต้นมาจากจีน โดยกรรมวิธี การทำเครื่องเขินได้เริ่มในสมัยฉางโจวเมื่อประมาณสี่พันปีมาแล้วโดยพบหลัก ฐานชิ้น ส่วนและตัวภาชนะเครื่องเขินในหลุมศพของบุคคลสำคัญหลายแห่งต่อมาวัฒนธรรม เครื่องเขินคงได้มีการแพร่หลายไปสู่เกาหลี ญี่ปุ่นจีนตอนใต้ เวียดนาม และเอเชียอาค เนย์แต่ก็มีแนวคิดแยกออกไปที่เชื่อว่าวัฒนธรรมเครื่องเขินน่าจะเกิดขึ้นก่อน ในเขต มณฑลยูนานและรัฐฉานเพราะเป็นแหล่งวัตถุดิบที่อุดมสมบูรณ์สำหรับการผลิต เครื่องเขิน อีกทั้งยังเป็นพื้นที่ ๆ มีการผลิต และใช้เครื่องเขินอย่างเข้มข้น ต่อมาค่อยแพรหลายเข้า ไปสู่จีนภายหลัง คนจีนรู้จักพัฒนาความรู้และการผลิตตลอดจนเก็บรักษาที่เก่งและดีกว่า ทำให้มีหลักฐานเกี่ยวกับเครื่องเขินค่อนข้างดีและสมบูรณ์ตราบเท่าปัจจุบันนี้

เครื่องเขินเป็นงานศิลปกรรมอีกอย่างหนึ่งของล้านนาและเป็นสิ่งของเครื่องใช้ ที่เกี่ยวข้องอยู่ในชีวิตประจำวันของชาวล้านนาในอดีตเป็นอย่างมากจนอาจจะกล่าว ได้ว่าเครื่องเขินนั้นเป็นผลิตผลทางวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตและแสดงถึง คุณลักษณะของชาวล้านนาได้เป็นอย่างดี เมื่อกล่าวถึงเครื่องเขินแล้ว โดยทั่วไปจะ หมายถึง ภาชนะเครื่องใช้ที่สานด้วยไม้ไผ่แล้วเคลือบด้วยรักเขียนลวดลายประดับ ตกแต่งด้วยชาดทองคำเปลวหรือเงินเปลวที่ผลิตขึ้น โดยชาวเชียงใหม่ ที่มีเชื้อสายสืบมาจากไทเขินแต่ โบราณในพจนานุกรมได้ให้ความหมายไว้ว่าหมายถึง เครื่องสานที่ลงรักฉาบชาด ทองคำเปลวหรือเงินเปลว ที่ผลิตขึ้นโดย ชาวเชียงใหม่ที่มีเชื้อสายสืบมาจาก ไทเขินแต่โบราณ ในพจนานุกรมได้ให้ความหมาย ไว้ว่าหมายถึงเครื่องสานที่ลงรักฉาบชาดสิ่งของ เครื่องใช้ในลักษณะเช่นเดียวกันนี้ในภาคกลาง ก็เคยปรากฎมีอยู่แต่เรียกว่า"เครื่องกำมะลอ"

โดยข้อเท็จจริงแล้วชาวล้านนาแต่ดั้งเดิมมิได้มีคำเรียกผลิตภัณฑ์งานเครื่องสาน ที่ลงรักฉาบชาดเหล่านี้เป็นการเฉพาะอย่างใดอย่างหนึ่งแต่ประการใด คงเรียกสิ่ง ของเครื่องใช้ประเภทนี้รวม ๆ ไปว่าครัวฮักครัวหางบ้าง เครื่องฮักเครื่องหางหรือ เครื่องฮักเครื่องคำ (ทอง) บ้างทั้งนี้เป็นไปตามลักษณะการประดับตกแต่งว่าจะตก แต่งด้วยชาดหรือปิดทองคำเปลวและจะเรียกชื่อผลิตภัณฑ์แต่ละชิ้นไปตามหน้าท ี่การใช้สอยของภาชนะนั้น ๆ เช่น ขันดอก ขันหมาก ขันโอ หีบผ้า แอ๊บ อูบ ปุง เป็นต้น ในการที่ต้องการเรียกให้เห็นถึงความแตกต่างของวัสดุที่ใช้ทำภาชนะนั้น ก็จะเรียกภาชนะนั้นให้ชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น ขันอัก (พานที่เป็นเครื่องรัก) หรือบางที ก็อาจจะเรียกไปตามวัสดุที่ใช้ตกแต่งว่า ขันฮักขันหาง หรือ ขันฮักขันคำ (ทอง) เป็นต้นส่วนคำว่า "เครื่องเขิน" นั้นคงเป็นคำเรียกขานที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้อาจ เป็นคำเรียกของคนภาคกลางหรือหน่วยงานราชการเมื่อประมาณ 100 ปี ที่แล้วที่ เรียกไปตามชื่อกลุ่มชนไทยเขินหรือไทยขืน ซึ่งเป็นผู้ผลิตสิ่งของเครื่องใช้ชนิดนี้ ไว้ใช้สอยในครัวเรือนและจำหน่ายเป็นสินค้าให้คนอื่น ๆ ได้ใช้กันโดยทั่วไปดังนั้น คำว่า "เครื่องเขิน" จึงเป็นชื่อที่เรียกไปตามชื่อของหมู่บ้านและกลุ่มชนที่ผลิต ซึ่งรวมหมายถึงเครื่องใช้ไม้สอยของชาวเขินนั่นเอง

แหล่งผลิตเครื่องเขินแหล่งใหญ่ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดีและยังคงมีการผลิต เครื่องเขินเป็นสินค้าจำหน่ายให้แก่ผู้คนทั่วไปนั้นจะอยู่ที่บ้านเขินนันทารามในเขตเมือง เชียงใหม่ชาวบ้านนันทารามจะกล่าวกันว่าพวกตนนั้นเดิมมีถิ่นฐานอยู่ที่เมืองเชียงตุง ซึ่งอยู่ในแถบที่ราบลุ่มแม่น้ำขืนหรือแม่น้ำเขิน ในเขตรัฐฉาน ประเทศพม่าในทุกวันนี้ ดังนั้นจึงมีชื่อเรียกขานกลุ่มชนนี้ว่า "ชาวขืน" หรือ "เขิน" ในช่วงเวลาเก็บผักใส่ซ้า เก็บข้าใส่เมืองเพื่อฟื้นฟูเมืองเชียงใหม่นั้นชาวเขินได้ถูกกวาดต้อนมาเป็นไพร่พลเมือง ของเมืองเชียงใหม่อยู่หลายแห่งกลุ่มชาวเขินที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ในบริเวณกำแพงเมือง ชั้นนอกฟากประตูเชียงใหม่และบริเวณโดยรอบวัดนันทารามนั้นคงจะเป็นไพร่พลเมือง ของเมืองเชียงใหม่อยู่หลายแห่งกลุ่มชาวเขินที่ตั้งบ้านเรือน อยู่ในบริเวณกำแพงเมืองชั้นนอกฟากประตูเชียงใหม่และ บริเวณโดยรอบวัดนันทารามนั้นคงจะเป็นไพร่พลชั้นดีด้วย มีความรู้ความชำนาญในการทำสิ่งของเครื่องใช้ประเภท เครื่องฮักเครื่องหางจึงถูกกำหนดให้อยู่ภายในเมืองและคง มีหน้าที่ผลิตเครื่องฮักเครื่องหางสำหรับเจ้านายในเมือง เชียงใหม่ในระยะแรกคงจะมีการผลิตสำหรับเจ้านายและ ใช้สอยเองภายในครัวเรือนต่อมาคงได้มีการผลิตเป็นสินค้า จำหน่ายให้แก่ชาวเชียงใหม่ตลอดจนชาวเมืองอื่น ๆ อีกด้วยดังนั้นสินค้าที่เป็นเครื่อง ฮักเครื่องหางที่ผลิตโดยชาวเขินจึงถูกเรียกว่า เครื่องเขิน ในเวลาต่อมากลุ่มชาวเขิน บ้านนันทารามนั้นจะถูกกวาดต้อนให้อพยพมาอยู่ในเมืองเชียงใหม่ตั้งแต่ครั้งใดไม่ ปรากฎแน่ชัด

จากการตรวจสอบภาคเอกสารปรากฎว่าในช่วงเวลาฟื้นฟูเมืองเชียงใหม่และ ดินแดนล้านนา ในสมัยพระเจ้ากาวิละนั้น ได้มีการยกทัพไปตีหัวเมืองต่าง ๆ ของแคว้น เชียงตุงหลายครั้ง แต่สำหรับการตีเมืองเชียงตุงมีเพียงครั้งเดียวในพ.ศ.2345 ในครั้ง นั้นไม่ได้ไพร่พลชาวเมืองเชียงตุงมาเป็นพลเมืองของเชียงใหม่เพราะเจ้าเมืองเชียงตุง ยกครอบครัวไพร่พลเมืองหนีออกจากเมืองไปต่อมาพ.ศ.2347 เจ้าหอคำเมืองเชียงตุง จึงได้สวามิภักดิ์พาชาวเมืองและไพร่พลลงมาเป็นข้าราชการอยู่ในเมืองเชียงใหม่และใน พ.ศ.2395 ได้มีการยกทัพไปตีเมืองเชียงตุงอีกครั้งแต่ไม่ได้เนื่องจากมีเหตุจำเป็นต้อง ถอยทัพกลับคืนมาดังนั้นจึงเชื่อว่ากลุ่มชาวเขินบ้านนันทารามนั้นคงจะเป็นกลุ่มที่อพยพ เข้ามาอยู่ในเมืองเชียงใหม่เมื่อครั้งเจ้าเมืองเชียงตุงได้พาไพร่พลเข้ามาสวามิภักดิใน พ.ศ. 2347 โดยเหตุที่กลุ่มชาวเขินเมืองเชียงตุงกลุ่มนี้เป็นไพร่พลเมืองชั้นดีและมีผีมือ ในการทำเครื่องฮักเครื่องหางจึงให้ตั้งบ้านเรือนอยู่ในเขตกำแพงเมืองชั้นนอกซึ่งชาวเขิน เหล่านี้นี่เองที่ได้สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์เครื่องเขินสืบทอดต่อมาจนทุกวันนี้

เครื่องเขินมิใช่เป็นสิ่งของเครื่องใช้ชนิดที่เพิ่งเข้ามาสู่ดินแดนล้านนาในยุคฟื้นฟู เมืองเชียงใหม่แต่เครื่องเขินนั้นถือเป็นสิ่งของเครื่องใช้ที่มีใช้อยู่อย่างแพร่หลายในล้านนา มาก่อนหน้านั้นนานแล้ว (เมื่อราวปี พ.ศ. 2100 ) ดังปรากฏหลักฐานในพงศาวดารพม่าว่า เมื่อพม่าเข้ายึดครองเมืองเชียงใหม่ได้กวาดต้อนเอาชาวเมืองเชียงใหม่และช่างผีมือไปไว้ ในเมืองพม่าหลายครั้ง ปัจจุบันชาวล้านนาเหล่านั้นยังคงมีการทำเครื่องเขินชนิดขูดขีดเป็น ลายเส้น แล้วถมลายเส้นด้วยสีต่าง ๆ อยู่ที่เมืองพุกามซึ่งพม่าเรียกเครื่องเขินชนิดนี้ว่า "โยนเถ่" ซึ่งแปลว่า เครื่องยวน หรือ เครื่องประดิษฐ์ขี้นโดยชาวไทยยวนหรือล้านนาเครื่อง เขินของพม่ามีลวดลายประดับแบบหนึ่งซึ่งว่า "ซินเม่" ซึ่งคำว่าซินเม่นี้ หมายถึง เชียงใหม่ น่าจะเป็นลวดลายดั้งเดิมจากเชียงใหมตั้งแต่ปลายสมัยราชวงค์มังราย ปี พ.ศ. 2100

สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงกล่าวไว้ในเรื่องเที่ยวพม่า พ.ศ.2478 ว่าได้รับความรู้แปลกทางโบราณคดี เรื่องการทำของลงรักในเมืองพม่าไว้อย่างหนึ่ง จะกล่าวไว้ตรงนี้ด้วย "ฉันได้เห็นในหนังสือพงศาวดารพม่าฉบับหนึ่งว่าวิชาทำนอง ลงรักนั้น พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองได้ไปจากเมืองไทย (คือว่าได้ช่างรักไทยไปเมื่อ ตีกรุงศรีอยุธยา ได้ใน พ.ศ. 2112 ถ้าจริงดังว่าก็พึงสันนิษฐานว่าครั้งนั้นได้ไปแต่ วิธีทำรัก "น้ำเกลี้ยง" กับทำ "ลายรดน้ำ" จึงมีของพม่าทำเช่นนั้นแต่โบราณแต่วิธี ที่ขูดพื้นรักลงไปเป็นรูปภาพ และลวดลายต่าง ๆ นั้นพวกช่างชาวเมืองพุกามเขา บอกฉันว่าพึ่งได้วิธีไปจากเมืองเชียงใหม่ เมื่อครั้งหลัง"

มีหลักฐานบางอย่างที่ชี้ให้เห็นถึงการใช้ยางรักสำหรับเคลือบผิวภาชนะต่าง ๆ ก่อนยุคราชวงค์ มังรายคือในสมัยหริภูญชัย เช่นที่อาจารย์ จอห์นชอร์ ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับเครื่องปั้นดินเผาไทยได้ค้นพบว่า เครื่องปั้นดินเผาบางชิ้นในวัฒนธรรมหริภูญชัยมีการ เคลือบยางรัก ส่วนเครื่องจักสานและไม้ที่เคลือบด้วย ยางรักในยุคนั้น คงเปื่อยผุและสลายไปกับกาลเวลา เพราะเป็นสารอินทรีย์ ถ้าไม่เก็บรักษาอย่างดีทำให้ ยางรักแปรสภาพภายในไม่กี่สิบปีส่วนที่ติดอยู่ดินเผาในหลุมศพนั้นบังเอิญมีการห่อหุ้ม อย่างดี ทำให้ยางรักบางส่วนตกค้างเป็นหลักฐานให้เห็นถึงปัจจุบัน

ที่พิพิธภัณฑ์ Tokugawa นครนาโกย่า ประเทศญี่ปุ่น มีการจัดแสดงของใช้ส่วนตัว ของโชกุนหลาย ๆ อย่าง มีของใช้ชิ้นหนึ่งเป็นตลับเครื่องเขินทรงกลมที่เป็นแอ๊ปหมาก (ตลับหมาก) ของเชียงใหม่ สีดำแดงตามแบบฉบับของเชียงใหม่ทุกประการ แต่คำอธิบาย บอกว่าเป็นของขวัญจากอยุธยาได้มาเมื่อปีพ.ศ.2200 เข้าใจว่าเครื่องเขินคงแพร่หลาย จากเชียงใหม่ลงมาถึงอยุธยาและเป็นของส่งออกตามเส้นทางค้าขายชายทะเลด้วย

การผลิตเครื่องเขินต้องใช้วัสดุอุปกรณ์อันประกอบด้วย
โครงภาชนะ โครงภาชนะได้จากวัสดุพวกไม้ไผ่ชนิดหนึ่งที่เรียกว่า "ต้นเฮียะ" ซึ่งลำใหญ่ ยาว ปล้องห่างมากมีเนื้ออ่อนเหนียวสามารถขดเป็นรูปภาชนะได้ง่าย ส่วนใหญ่ จะมีมากในภาคเหนือเท่านั้นนำไม้ไผ่มาจักเป็นตอกบาง ๆ จึงสานหรือขดเป็นรูปร่างตาม หุ่นภาชนะที่จะทำ วัสดุที่นิยมใช้ทำโครงรองลงมา ได้แก่ ไม้ โลหะต่าง ๆ พลาสติก ดินเผา โครงอัดจำพวกไม้อัดกระดาษอัด น้ำรัก

น้ำรักที่ใช้ในการทาเครื่องเขินต้องนำ มาผสมกับน้ำมันสน กวนให้เข้ากันดี กรอง ด้วยผ้าขาวบาง 2 ชั้น ตรงกลางใสกระดาษ สา รอง 4 - 5 ชั้น รักที่กรองได้ต้องใส่ภาชนะ ปิดด้วยกระดาษสีน้ำตาลชุบน้ำ เพื่อไม่ให้ น้ำรักแห้งและสกปรก

รักสมุกเป็นรักที่ผสมกับส่วนผสมอื่น ๆ ใช้ทารองพื้นหรือทาอุดส่วนที่เป็นร่องหรือทา ปะมุมเพื่อให้ผิวภาชนะเรียบ สมุกรองพื้นได้จากน้ำรักผสมกับผงอิฐ ผงดินขาว ในอัตรา ส่วน 5 : 5 : 1 โดยน้ำหนัก ส่วนสมุกละเอียดได้จากน้ำรักผสมกับผงอิฐขาว ในอัตราส่วน ที่เท่ากัน

น้ำยาหรดานเป็นน้ำยาที่ใช้เขียนลายทำจากหรดานซึ่งเป็นหินสีเหลืองอ่อนนำมาบด ให้เป็นผงละเอียดผสมด้วยยางมะขวิดและน้ำฝักส้มป่อย เมื่อผสมเข้ากันดีแล้วต้องนำ มากรองเอากากออกเสียก่อนจึงนำไปใช้ได้
ทองคำเปลวเงินเปลวชาด
เป็นวัสดุที่ใช้ปิดทับหรืออุดลงไปบนผิวภาชนะเพื่อให้เกิดลวดลายและสีสันตาม ที่ต้องการ

เครื่องมือที่ใช้ในการทำเครื่องเขิน ได้แก่ มีดปลายตัด มีดปลายแหลม มีดขุด สมุกยาร่อง มีดเซาะร่อง เหล็กจาร แปรงทารัก กระดาษทราย หินขัด




ศูนย์อนุรักษ์วัฒนธรรมไทยลายรดน้ำ

ศูนย์อนุรักษ์วัฒนธรรมไทยลายรดน้ำ

ช่างสิบหมู่ ซึ่งปัจจุบันศิลปินเหล่านี้ ได้มีการพัฒนา ให้เป็นรูปแบบที่มีเอกลักษณ์ เฉพาะตัวได้รับการยกย่องให้เป็นงาน สกุลช่างเมืองเพชร

งานลายลดน้ำ ก็เป็นหนี่งในงานของสกุลช่างเมืองเพชรเช่นกัน งานลายลดน้ำ จัดเป็นงานช่างศิลป์ประเภทหนึ่งซึ่งรวมอยู่ในหมู่ช่างรัก อันเป็นช่างหนึ่งในงานช่างสิบหมู่ เป็นการตกแต่งเครื่องใช้ เครื่องประดับ โดยการเขียนลวดลาย และรูปภาพด้วยวิธีการปิดทองลดน้ำ

การทำงานลายลดน้ำ เริ่มต้นขั้นแรกช่างจะใช้รักเช็ดทาลงไปบนชิ้นงาน เขียนลายด้วย น้ำยาหรดาล (คือชื่อแร่ชนิดหนึ่งประกอบด้วยธาตุสารหนู และกำมะถัน มีสีแดงอมเหลือง  ใช้สำหรับเขียนลายรดน้ำและสมุดดำ)ซึ่งน้ำยาหรดาลตัวนี้ คือส่วนสำคัญที่ช่วยสร้างลักษณะความแตกต่างในแก่งานหลายรดน้ำจนเกิดเป็น เอกลักษณ์ขึ้นมา
จาก นั้นปิดทองทับ แล้วใช้น้ำล้างชิ้นงาน ทองที่ปิดลงบนรักเช็ดจะยังคงติดอยู่บนชิ้นงาน แต่ทองที่ปิดลงไปบนหรดาลจะหลุดออกมาทำให้มองเห็นเป็นลวดลาย

อุปกรณ์ในการทำลายรดน้ำเป็นอุปกรณ์ที่หาได้จากท้องถิ่น ได้แก่ รักน้ำเกลี้ยง คือน้ำยาของต้นรัก นำมากรองและซับน้ำที่ปนอยู่ให้ระเหยออกไป รักเช็ด ได้จากการนำรักน้ำเกลี้ยงไปเคี่ยวไฟอ่อนๆ จนมีความเหนียวเป็นยาง ใช้เป็นตัวผสานให้ทองติดบนชิ้นงานได้อย่างราบเรียบ


ที่เหลืออย่าง น้ำยาหรดาล ดินสอ พอง และสำลี ก็สามารถหาได้จาดท้องถิ่นเช่นกัน ส่วนที่ต้องหาซื้อ ได้แก่ ทองคำเปลวรีดเป็นแผ่นคล้ายทองที่ปิดพระ แต่ทองที่ใช้ในงานปิดทองรดน้ำจะเป็นทองคำบริสุทธิ์ หรือ ทองร้อยเปอร์เซ็นต์ กับพู่กันเบอร์0 ซึ่งมีปลายเล็กสำหรับเขียนลาย และกระดาษไขสำหรับเขียนแบบเพื่อปรุลาย

การ เขียนลายรดน้ำเดิมจะเขียนเป็นรูปลายไทย ลายกนก ลายเทพเทวดา หรือสัตว์ในวรรณคดี แต่ในปัจจุบันมีการประยุกต์ลวดลายของการเขียนลายรดน้ำให้มีความร่วมสมัยมาก ขึ้น มีการผสมผสานระหว่างลายไทยกับลวดลายจากธรรมชาติ ซึ่งงานเขียนลายรดน้ำได้รับความนิยมไม่น้อยไปกว่างานศิลปะด้านอื่นๆ

งานที่นิยมใช้ลายรดน้ำ ได้แก่ ตู้พระไตรปิฎก ตู้พระธรรม บานประตูหน้าต่าง บางแห่งนิยมทำเป็นภาพติดประดับบนฝาผนัง งานลายรดน้ำที่ยังคงงดงามถึงทุกวันนี้ซึ่งสามารถไปชมกันได้ คือที่ศาลาการเปรียญ ตำหนักสมเด็จพระเจ้าแตงโม วัดใหญ่สุวรรณาราม จังหวัดเพชรบุรี หรือเข้าไปสอบถามรายละเอียดที่ 

ศูนย์อนุรักษ์วัฒนธรรมไทยลายรดน้ำ จังหวัดเพชรบุรี
โทร. 08-9015-2099,08-1987-0318


งานแกะสลักไม้สัก

ภูมิปัญญาสาขาอุตสาหกรรม และหัตกรรม จังหวัดสุโขทัย

งานแกะสลักไม้สัก เป็นงานฝีมือของชาวบ้าน ช่างแกะสลัก จากจังหวัดสุโขทัยที่เกิดจากการเห็นคุณค่าของสิ่งที่มีอยู่ใกล้ตัว สิ่งนั้นคือ เศษไม้ที่โรงงานทำ เฟอร์นิเจอร์ไม้ ได้ทิ้งไว้ แต่ชาวบ้านนำกลับมาใช้ให้เกิดประโยชน์อีกครั้ง ด้วยการใช้ภูมิปัญญาชาวบ้านแกะสลักเศษไม้ให้เป็นรูปแบบต่าง ๆตามต้องการ แล้วนำมาสร้างรายได้เพิ่มขึ้น งานแกะสลักไม้สัก เป็นงานฝีมือของชาวบ้านในตำบลเมืองเก่า อำเภอเมือง จังหวัดสุโขทัย เป็นงานที่ต่างจาก งานแกะสลักไม้ จากจังหวัดเชียงใหม่โดยมีรูปแบบไม่ซ้ำกันเป็นเอกลักษณ์ที่ต่างกัน รูปแบบที่นำมา แกะสลักส่วนใหญ่เป็นองค์พระพุทธรูป และตัวสัตว์ อาทิ เช่น นกคุ้ม นกยูง นกเงือก ปลาปักเป้า ปลากัด แมว เป็ด กบ ฯลฯ

งานฝีมือเหล่านี้ล้วนเป็นเอกลักษณ์ หรือของดีประจำจังหวัดสุโขทัยเช่น "นกคุ้ม" เป็นนกที่มีชื่อไพเราะเรียกว่า คุ้มเงินคุ้มทอง บางคนซื้อแล้วนำไปปลุกเสก เอาตั้งไว้บูชาเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ผู้เป็นเจ้าของ ส่วนมากจะขายได้เฉพาะคนไทยที่เข้าใจความหมายของคำว่านกคุ้ม ลูกค้าบางคนที่เชื่อถือเรื่องดวงชะตาก็นิยมซื้อตัวสัตว์ที่เข้ากับวันเดือนปีเกิดของตนเอง สำหรับลูกค้าที่เป็นชาวต่างประเทศจากทวีปยุโรปและอเมริกา จะนิยมซื้อองค์พระพุทธรูปสมัยสุโขทัยที่ยังคงอนุรักษ์ความงดงามอยู่เช่นเดิม ส่วนลูกค้าที่เป็นชาวเอเชียจะชื่นชอบตัวสัตว์ เช่น แมว นก และปลา โดยเฉพาะปลากัด เป็นไม้สักชิ้นเดียว แกะให้เป็นตัวโดยไม่มีการต่อเติมส่วนประกอบของปลา บางครั้งก็มีรูปแบบพิเศษที่ลูกค้ากำหนด เช่น รถตุ๊กตุ๊ก เรือพื้นบ้าน กรอบรูปลวดลายโบราณเก่าแก่ สมัยสุโขทัย ไม้สัก เป็นไม้ที่เก่าแก่มีคุณค่าแก่การสะสม เมื่อนำมา แกะสลัก เป็นรูปลักษณ์ที่งดงามเห็นลายไม้ชัดเจน ถ้าไม่ต้องการลงสีเพียงแต่ลงแวกซ์ให้เงางามก็เป็นเสน่ห์และเอกลักษณ์ที่ดึงดูดใจลูกค้าได้เป็นอย่างดี

คัดลอกจาก สารสนเทศ จังหวัดสุโขทัย มหาวิทยาลัยรามคำแหง

ภาพรวมผลิตภัณฑ์ไม้แกะสลัก

สภาวะผลิตภัณฑ์ไม้และไม้แกะสลัก

ประเภทของใช้และเครื่องประดับตกแต่งของไทย

 ภาวะทั่วไป
ผลิตภัณฑ์ไม้และไม้แกะสลักประเภทของใช้และเครื่องประดับตกแต่งของไทย มีการผลิตสืบทอดกันเป็นเวลานานแล้ว โดยเดิมเป็นการผลิตเพื่อใช้สอยในครัวเรือนเป็นหลัก แต่ปัจจุบันมีการผลิตที่มีความหลากหลายมากขึ้น มีการพัฒนาปรับปรุงการผลิตด้านการนำเครื่องทุ่นแรงมาใช้ในบางขั้นตอนการผลิต ส่งผลให้การผลิตผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ ได้กลายมาเป็นอาชีพหนึ่งที่ทำรายได้ให้กับครอบครัวเพิ่มมากขึ้นโดยเฉพาะครอบครัวชนบทและยังสามารถขยายการผลิตออกไปเป็นอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อมที่สามารถผลิตได้ครั้งละมาก ๆ จนสามารถส่งออกไปจำหน่ายต่างประเทศ นำรายได้เข้าประเทศโดยรวมปีละไม่ต่ำกว่าหนึ่งหมื่นล้านบาท

ผลิตภัณฑ์ไม้และไม้แกะสลัก ฯ นับเป็นสินค้าในหมวดของตกแต่งบ้านที่ได้รับความนิยมค่อนข้างสูงในการมอบให้เป็นของที่ระลึกในโอกาสต่าง ๆ เช่น วันปีใหม่ วันเกิด วันขึ้นบ้านใหม่และโอกาสอื่น ๆ อีกมาก แหล่งผลิตใหญ่อยู่ในภาคเหนือของประเทศ ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ลำปาง ลำพูน แพร่ นครสวรรค์ รวมถึงภาคกลางที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาและกรุงเทพ ฯ

 ภาวะการตลาด
ตลาดภายในประเทศการตลาดของผลิตภัณฑ์ไม้และไม้แกะสลัก ฯ สำหรับตลาดในประเทศนั้นมี 2 ลักษณะคือ ตลาดขายปลีกและตลาดขายส่ง โดยแหล่งจำหน่ายที่สำคัญในประเทศในลักษณะขายปลีก คือ แหล่งท่องเที่ยวทั่วประเทศ ห้างสรรพสินค้า ตลาดนัดสวนจตุจักร และสวนลุมไนท์พลาซ่า ขณะที่แหล่งตลาดขายส่งที่สำคัญ ได้แก่ แหล่งผลิตสำคัญในภาคเหนือและภาคกลาง เช่น ในซอยประชานฤมิตร ในกรุงเทพฯ เป็นต้น รวมถึงตลาดนัดสวนจตุจักรและสวนลุมไนท์พลาซ่า

ตลาดส่งออก
ตลาดส่งออกผลิตภัณฑ์ไม้และไม้แกะสลัก ฯ ปัจจุบันแบ่งออกเป็น 2 ตลาดคือ ตลาดหลัก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น และตลาดใหม่ ได้แก่ ตะวันออกกลาง แอฟริกา และเอเชีย

หากได้วิเคราะห์ภาพรวมของการส่งออกเพื่อวิเคราะห์แนวโน้มการตลาด พบว่าภาพรวมของการส่งออกสินค้าผลิตภัณฑ์ไม้และไม้แกะสลัก ฯ ของไทยอยู่ในภาวะทรงตัว จากสถิติตัวเลขมูลค่าการส่งออกเปรียบเทียบในราย 3 ปีที่ผ่านมา มีค่าเฉลี่ยใกล้เคียงกัน โดยปี 2546 มูลค่า การส่งออกประมาณ 10,500 ล้านบาท ปี 2547 มูลค่า 10,900 ล้านบาท และในปี 2548 มูลค่า 10,100 ล้านบาท คาดว่าในช่วงปี 2549 และช่วงเวลาที่เหลือน่าที่จะขยายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้เป็นเพราะว่า ประเทศลูกค้าที่สำคัญ เช่น สหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา สวิตเซอร์แลนด์ ญี่ปุ่นและแคนนาดา เป็นประเทศที่มีความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจค่อนข้างสูง ประชาชนมีงานทำ มีคุณภาพชีวิตที่ดี และมีรายได้สูง ส่งผลต่อเนื่องให้มีการจับจ่ายใช้สอยเครื่องใช้ในครัวเรือน เครื่องประดับบ้าน ซึ่งรวมถึงผลิตภัณฑ์ไม้และไม้แกะสลักฯ เพิ่มสูงตามไปด้วย นอกจากนี้โดยส่วนหนึ่งน่าจะเป็นผลมาจากการที่ผู้ประกอบการไทย เข้าร่วมงานแสดงสินค้านานาชาติต่าง ๆ ทำให้ผู้บริโภคต่างชาติได้รู้จักสินค้าผลิตภัณฑ์ไม้และไม้แกะสลักเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งยังมีการส่งเสริม จัดแสดงสินค้า จำหน่ายสินค้า OTOP อย่างต่อเนื่องในไทย ส่งผลให้สินค้าผลิตภัณฑ์ไม้และ ไม้แกะสลักเป็นที่รู้จัก และมีช่องทางการจำหน่ายมากขึ้นด้วย จากเหตุผลดังกล่าวจึงคาดว่า จะสามารถส่งออกสินค้าผลิตภัณฑ์ไม้และไม้แกะสลักเป็นมูลค่าประมาณ 11,000 ล้านบาท เมื่อสิ้นปี 2549

เนื่องจากผลิตภัณฑ์ไม้และไม้แกะสลักฯจัดเป็นสินค้าหัตถกรรมหรือสินค้าOTOP ประเภท-หนึ่ง ดังนั้นแนวโน้มหรือสภาวะตลาดของสินค้า OTOP จึงมีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกับสินค้าไม้และไม้แกะสลักฯ ด้วย ซึ่งจากรายงานสรุปสภาวะของกรมส่งเสริมการส่งออก กระทรวงพาณิชย์ เมื่อเดือนมีนาคม 2549 ได้จัดลำดับผลิตภัณฑ์ OTOP ที่มีการส่งออกได้ 16 ลำดับ ดังนี้

1. เครื่องสำอาง สบู่ และผลิตภัณฑ์รักษาสิว
2. เครื่องประดับทำด้วยเงิน
3. เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน
4. เครื่องใช้บนโต๊ะอาหาร
5. เคหะสิ่งทอ
6. เสื้อผ้าสำเร็จรูป
7. ผลิตภัณฑ์ไม้แกะสลักและเครื่องประดับทำด้วยไม้
8. เครื่องใช้ทำด้วยไม้
9. เทียน
10. ของชำร่วยและเครื่องประดับเซรามิค
11. ผ้าผืน
12. กรอบรูปไม้
13. ดอกไม้ ใบไม้ ต้นไม้ประดิษฐ์
14. เครื่องปรุงอาหาร
15. ผลิตภัณฑ์ข้าว
16. ผลไม้แปรรูป

จากข้อมูลพบว่า ผลิตภัณฑ์ไม้และไม้แกะสลักอยู่ในลำดับที่ 7 และ 8 ของการจัดลำดับผลิตภัณฑ์ OTOP ที่มียอดการส่งออกมากที่สุด 16 ลำดับ โดยมียอดการส่งออกสินค้า OTOP ในช่วงเดือนมกราคม – ธันวาคม 2548 มีมูลค่า 973 ล้านเหรียญสหรัฐ เปรียบเทียบกับปี 2547 จำนวน 873 ล้านเหรียญสหรัฐ มีอัตราการขยายตัวร้อยละ 11.4 และเมื่อเปรียบเทียบอัตราการขยายตัวของการส่งออกใน 4 กลุ่มสินค้า OTOP พบว่า สินค้าสมุนไพรเพื่อสุขภาพและความงาม มีอัตราขยายตัวอันดับหนึ่ง รองลงมาได้แก่ อาหารและเครื่องดื่ม ผ้าและเครื่องแต่งกาย ของใช้และของตกแต่งบ้าน (รวมผลิตภัณฑ์ไม้และไม้แกะสลัก) ตามลำดับ

ข้อมูลอีกอันหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงสภาวะการตลาดและแนวโน้มสินค้าผลิตภัณฑ์ไม้และไม้แกะสลัก ซึ่งสามารถนำมาวิเคราะห์เป็นข้อมูลในการศึกษาหาแนวโน้มตลาด เพื่อการวางแผนการผลิตสินค้าประเภทนี้ได้ โดยดูจากข้อมูลการจำหน่ายสินค้า OTOP ในงานแสดงสินค้า OTOP to The world ที่จัดขึ้นเมื่อเดือนตุลาคม 2548 รายละเอียดดังนี้

- สินค้าที่ได้รับความสนใจสั่งซื้อมากที่สุด ได้แก่ กระจกลงทอง เปลือกไข่วิจิตร ผลิตภัณฑ์-หนัง ผลิตภัณฑ์ไม้ ดอกไม้ประดิษฐ์ / กระดาษสา เซรามิค เบญจรงค์ ผลิตภัณฑ์สปา เคหะสิ่งทอ จักสาน ฯลฯ

- สินค้าจำหน่ายปลีก ที่ได้จำหน่ายมากที่สุด ผลิตภัณฑ์ไม้ เคหะสิ่งทอ ผลิตภัณฑ์หัตถกรรมอื่น ๆ ผลิตภัณฑ์สปา เซรามิค เบญจรงค์ ผลิตภัณฑ์โลหะ ดอกไม้ประดิษฐ์ / กระดาษธรรมชาติ

- ประเทศที่มีการสั่งซื้อมากที่สุดเรียงตามลำดับ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ออสเตรเลีย แคนาดา สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เนเธอร์แลนด์ อิตาลี ฮ่องกง กาตาร์ ไต้หวัน และจีน

- สินค้าที่ได้รับการสั่งซื้อมากที่สุด แยกตามภูมิภาค ได้แก่ยุโรปเอเชียตะวันออกกลาง อเมริกาเหนือแอฟริกา

จากการวิเคราะห์แนวโน้มตลาดทั้งตลาดภายในประเทศและตลาดส่งออกในปี 2549 และแนวโน้มในปีต่อ ๆ ไปนั้น ทำให้ทราบข้อมูลสำคัญในการพัฒนาสินค้าผลิตภัณฑ์ไม้และไม้แกะสลัก รวมถึงผลิตภัณฑ์หัตถกรรมอื่น ๆ ที่น่าจะมีแนวโน้ม ตรงกับความต้องการของตลาดทั่วไปทั้งในประเทศ และต่างประเทศในอนาคต ควรมีลักษณะดังนี้ (มีลักษณะใด ลักษณะหนึ่งหรือหลายลักษณะ)

1 มีแนวโน้มด้านแฟชั่นและสไตล์
2 ง่ายต่อการใช้สอย หรือมีลักษณะแนวโน้มน่านิยมใช้ อาทิ ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม
3 มีมูลค่าเพิ่มสูง (High value – added products)
4 มีลักษณะเฉพาะ (Unique) ซึ่งได้รับการออกแบบให้มีคุณภาพสูง
5 มีคุณสมบัติในความรู้สึกสบาย ๆ อบอุ่นและน่ารัก
6 มีศิลปะสูง
7 มีประโยชน์ใช้สอยพิเศษ (Special Functions)3.

ข้อคิดเห็นและเสนอแนะ
ปัจจุบันสินค้าผลิตภัณฑ์ไม้และไม้แกะสลัก รวมถึงสินค้าหัตถกรรมอื่น ๆ ของไทย จะมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจ และสังคมของประเทศเพิ่มขึ้นตามลำดับ แต่สินค้าในกลุ่มหัตถกรรมยังต้องเผชิญปัญหาต่าง ๆ เช่น

- อัตราค่าจ้างแรงงานในประเทศมีแนวโน้มสูงขึ้น

- ทรัพยากรที่เป็นวัตถุดิบในการผลิตเริ่มจำกัดและเริ่มหายาก

- การพัฒนาเทคนิคการผลิตที่ทันสมัยยังไปไม่เร็วเท่าที่ควร

- ขาดข้อมูลความต้องการของผู้บริโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศ

- คู่แข่งขันในตลาดส่งออก มีความได้เปรียบในด้านค่าแรงที่ต่ำกว่า และมีวัตถุดิบไม้ มีความอุดมสมบูรณ์และมีคุณภาพ (ไม้สัก ไม้ประดู่ ไม้มะค่า ไม้มะม่วงและไม้กระท้อน)

- คู่แข่งขันในตลาดส่งออกมีการพัฒนาด้านเทคโนโลยีการผลิตอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังมีจุดเด่นในส่วนของการออกแบบที่ทันสมัย

และเพื่อเป็นการแก้ปัญหาดังกล่าว ผู้ผลิต ผู้ประกอบการไทย จึงควรต้องมีการพัฒนาในด้านต่างๆ เช่น

- ดำเนินงานโดยใช้ยุทธศาสตร์ Value creation ที่เป็นการใช้ความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบของไทยในส่วนของฝีมือการผลิตที่สืบทอดภูมิปัญญากันมาสร้างสรรค์สินค้า เพื่อให้สินค้ายากต่อการลอกเลียบแบบและมีคุณค่า จนสามารถสร้างราคาให้สูงได้ จนยากที่คู่แข่งจะขายตัดราคา

- หน่วยงานภาครัฐและเอกชนของไทย ควรร่วมมือกันอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ในส่วนของการศึกษาวิจัยแนวโน้มความต้องการของตลาด ต่อสินค้าผลิตภัณฑ์ไม้และไม้แกะสลักฯ เพื่อใช้เป็นแนวทางหลักในการพัฒนาคุณภาพ รูปแบบ และปริมาณการผลิตของผู้ผลิต ผู้ประกอบการไทย ให้ตรงกับความต้องการของตลาดกลุ่มเป้าหมาย และควรต้องศึกษาระบบโครงสร้างตลาดสินค้าผลิตภัณฑ์ไม้และไม้แกะสลักฯ รวมถึง ตลาดสินค้าหัตถกรรมอื่น ๆ ในกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมายด้วยอย่างละเอียด เพื่อเป็นข้อมูล และแนวทางในการติดต่อการค้าระหว่างไทย และประเทศคู่ค้าในอนาคต โดยทั้งนี้ หากไทยสามารถขยายตลาดผลิตภัณฑ์ไม้ และไม้แกะสลักในประเทศกลุ่มเป้าหมายได้อย่างกว้างขวางแล้ว ย่อมเปิดโอกาสให้การส่งออกสินค้าหัตถกรรมไทยประเภทอื่น ๆ มีโอกาสเจาะตลาดประเทศเหล่านั้นในปริมาณ และมูลค่าที่เพิ่มสูงขึ้นด้วย ซึ่งนอกจากจะเป็นการสร้างโอกาสในการนำรายได้เข้าประเทศเพิ่มขึ้น ในรูปของเงินตราต่างประเทศแล้ว ยังเป็นการส่งผลดีต่อเนื่อง ถึงการจ้างงานในอุตสาหกรรมหัตถกรรมไทย และช่วยลดการอพยพแรงงานชนบทเข้าสู่เมืองหลวงด้วย ซึ่งจะส่งให้เศรษฐกิจไทยมีเสถียรภาพที่มั่นคงขึ้นในระดับหนึ่ง อีกทั้งยังก่อให้เกิดการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่วัสดุในท้องถิ่น และช่วยสืบทอดวัฒนธรรมและประเพณีของไทยที่แสดงออกมาในรูปของงานหัตถกรรมอีกด้วย

แหล่งที่มา :ส่วนพัฒนาและกระจายผลิตภัณฑ์ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม